ยุคสมัยนี้การหาของกินเป็นเรื่องง่าย จะกินอะไรก็แค่สั่ง สั่ง แล้วก็สั่ง แค่นั้นก็ได้สิ่งที่อยากกินมาวางไว้ตรงหน้า แต่เมื่อการหาของกินหรือการหาวัตถุดิบเป็นเรื่องง่ายดายมันก็ทำให้เราอาจหลงลืมอะไรบางอย่างไป อย่างเช่นหลงลืมธรรมชาติที่สรรสร้างวัตถุดิบอร่อยๆ ให้กับเรา หลงลืมวัฏจักรที่วิ่งวนรอบตัวเราอยู่ ลองย้อนเวลากลับไปในช่วง 10 – 20 ปีที่ผ่านมา เราต่างต้องวิ่งเข้าหาวัตถุดิบ เฝ้ารอช่วงเวลา ช่วงฤดูกาล เพื่อให้ได้มาซึ่งวัตถุดิบนั้นๆ ในขณะที่สมัยนี้วัตถุดิบแทบทุกอย่างกลับวิ่งเข้าหาเราอย่างล้นหลาม เพราะทุกอย่างโดนจัดแจง เลี้ยงดูแบบเพื่อให้ได้มาพร้อมสำหรับความต้องการตลอดเวลา วัตถุดิบบางอย่างที่เราเคยต้องเฝ้ารอก็ไม่ต้องเฝ้ารออีกต่อไป แต่วัตถุดิบที่ถูกจัดเตรียมโดยมนุษย์ จะอย่างไรก็แตกต่างจากการเตรียมของธรรมชาติ เราจึงได้เห็นได้ยินบ่อยๆ ว่าผัก ผลไม้ สัตว์ตามตามฤดูกาลนั้นอร่อยเด็ดดีงามกว่านอกฤดูมากนัก และเราก็อยากเชิญชวนให้คนรักการทำ (และกิน) อาหารหันมาเฝ้ารอและวิ่งเข้าหาวัตถุดิบในช่วงเวลาที่เหมาะสมสักครั้ง แล้วจะพบว่าการเฝ้ารอสิ่งที่ธรรมชาติบ่มเพาะนั้น มันคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม
ประเดิมคอลัมน์กันด้วยช่วงหน้าร้อนปลายๆ ของประเทศไทยเรา ตามตลาดก็จะเห็นแผงขายอาหารทะเลที่มี ‘ปูม้า’ มาวางขายเป็นจำนวนมาก เพราะหน้านี้เป็นหน้าที่ไม่มีมรสุมในทะเล น้ำทะเลนิ่งสงบ สิ่งมีชีวิตในทะเลก็อุดมสมบูรณ์ เลยทำให้มีจำนวนประชากรของสิ่งมีชีวิตค่อนข้างมาก ปูม้าก็เป็นหนึ่งในนั้น เนื้อปูในฤดูกาลนี้มีรสหวาน แน่น ที่เขามักเรียกกันว่าเนื้อเป็นลิ่มสวย ที่สำคัญราคาไม่แพงมาก สังเกตได้ว่าแม้เราจะเห็นปูม้าอยู่บนแผงแทบตลอดเวลา แต่บางทีราคาก็แพงจนต้องร้อง โอ้โห หรือสังเกตเนื้อปูก้อนที่เขาขายกันดูก็ได้ บางช่วงราคาถูกแสนถูก บางช่วงก็ราคาแพงสุดๆ (ต่อให้ตอนนี้มีทำฟาร์มปูม้ากันมากขึ้นก็เถอะ)
ปกติปูม้าธรรมชาติจะมีมากในช่วงระหว่างเดือนพฤษภาคม – เดือนตุลาคม (ฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทยฝั่งตะวันออก) และนิยมกินปูม้าในช่วงข้างขึ้นมากกว่าข้างแรม เพราะเนื้อปูข้างขึ้นจะแน่นกว่า อร่อยกว่า หวานกว่า ส่วนเนื้อปูข้างแรมนั้นเนื้อเละ ไม่อร่อย อันนี้เราเอามาจากคำบอกเล่าของบรรดาพ่อค้าเจ้าของแผงปลาที่รู้จักกันนะคะ
เมื่อได้วัตถุดิบตามกาลมาแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการนำมาปรุงตามใจของเรากันบ้าง ได้ปูม้ามาก็อยากนำมาต้มกะทิสักหน่อย อยากได้รสสัมผัสของความหอม หวาน มัน ของตัวกะทิและเนื้อปูที่หลอมรวมเข้าด้วยกัน ซึ่งนอกจากพระเอกทั้งสองของเราแล้วนั้น ยังมีพระรองอย่างใบเหลียงและลูกตอมาช่วยให้เกิดอรรถรสในการกินมากยิ่งขึ้น โดยเราขอตั้งชื่อเมนูนี้ว่า ‘แกงกะทิปูม้าย่าง’ ที่มีความพิเศษตรงนำเนื้อปูไปย่างบนเตาถ่าน ให้ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ (ไม่ควรย่างให้สุกจนเกินไปนัก เดี๋ยวความหวานจะหายไปหมด) เมื่อได้ความสุกของปูที่ต้องการก็เอาปูลงไปแกงในกะทิที่ตั้งหม้อเตรียมไว้ได้เลย ใส่เครื่องสมุนไพรอย่างหอมและตะไคร้ ก่อนจะใส่ใบเหลียงและสะตอเม็ดเพื่อเพิ่มอรรถรส ถ้าอยากได้รสเผ็ดเล็กน้อยก็บุบเม็ดพริกใส่ลงไปสักหน่อย ช่วยเพิ่มทั้งรสชาติและกลิ่นแล้วตักใส่ถ้วยลิ้มรสปูม้าเนื้อแน่นทั้งสดทั้งหวานล้ำได้เลย