ท่ามกลางฝุ่น PM2.5 ทำให้เราสงสัยว่าเรามาเที่ยวน่านตอนนี้ทำไม? แต่น่านแหละ มาเที่ยวแล้วก็ต้องสนุก สิ่งหนึ่งที่สนุกได้แน่ๆ คือการกินของอร่อย เราเริ่มต้นด้วยวิธีแบบแมสๆ คือการกดเสิร์ชกูเกิ้ลด้วยคีย์เวิร์ดว่า ‘ร้านอาหาร น่าน’ ‘กิน น่าน’ แล้วบรรดาร้านรวงต่างๆ ก็ขึ้นมาเรียงรายให้เลือกสรร แต่ด้วยประสบการณ์และอคติส่วนตัว ทำให้เราไม่ไว้ใจร้านที่ขึ้นมาอันดับต้นๆ ได้แก่พวกร้านที่ไม่ว่าเปิดกี่เว็บก็ต้องพูดถึง ทุกคนที่มาเที่ยวน่านต้องกินร้านเหล่านี้ซ้ำๆ พูดง่ายๆ ว่าไม่ไว้ใจความแมสค่ะ ก็เลยใช้วิธีถามพี่สาวคนที่ให้เราเช่ารถเพื่อขับตะลุยฝ่า PM 2.5 เอาละกัน คุณพี่พิมพ์ไลน์ตอบกลับมาแบบไม่มีคำอธิบายใดๆ ว่า ‘เฮือนภูคา’ เราก็ทำการเสิร์ชร้านทันทีและปล่อยให้ภาพในอินเทอร์เน็ตยั่วใจ ปรากฏว่ายั่วสำเร็จค่ะ เพราะเราเองก็แพ้พวกอาหารท้องถิ่นและเมนูชื่อประหลาดที่จะไม่ได้กินบ่อยๆ ที่กรุงเทพฯ แน่ๆ ก็เลยตกลงปลงใจไปเยือน ‘เฮือนภูคา’ ค่ะ
มาถึงร้านอาหาร ‘เฮือนภูคา’ ท่ามกลางอากาศร้อนระอุ พวกเราเปิดเมนูอย่างเหนื่อยยาก สั่งอาหารตามใจนึก แล้วก็นั่งรอท่ามกลางความร้อนกันนิ่งๆ นึกเสียใจซ้ำอีกว่านอกจากมาเที่ยวน่านตอน PM2.5 กระฉูดแล้ว ยังเป็นหน้าแล้งหน้าร้อนอะไรขนาดนี้… แล้วทันใดบรรดาจานอาหารก็ถูกลำเลียงลงวางบนโต๊ะ พวกเราตื่นตาและลืมความร้อนไปสิ้นค่ะ
จานแรก ‘ผักเซียงดาคั่วไข่’
ผักเซียงดาเป็นผักพื้นบ้านของทางเหนือ ถ้าใครเป็นแฟนใบเหลียงผัดไข่ รับรองว่าต้องติดใจจานนี้เหมือนกัน ผักเซียงดาไม่มีกลิ่นฉุนแรง และออกจะนุ่มกว่าใบเหลียงเลยกินง่าย กินกับข้าวอร่อยพอดิบพอดี
จานที่สอง ‘ลาบหมูคั่ว’
มาเหนือทั้งที ตั้งใจว่าจะไม่ยอมพลาดเมนูนี้ เพราะลาบภาคเหนือมีความหอมอันซับซ้อนจากเครื่องเทศ และแซ่บซุยถูกใจเรามาก ชอบตรงที่หมูไม่ใช่หมูสับสำเร็จ แต่เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นหมูชิ้นที่ถูกเอามาสับเอง แถมมีเครื่องในทั้งไส้ ตับ กึ๋น ครบเครื่องสะใจมากๆ ลาบหมูไม่ออกทางเปรี้ยวแต่ออกทางเค็มกลมกล่อม
จานที่สาม ‘ส้มตำปลากรอบ’
จานนี้ออกแนวเหมือนยำมะม่วงมากกว่า ตัวยำก็ถือว่ารสชาติดี แต่ไม่แปลกใหม่อะไรมาก ข้อดีคืออมหวานเล็กน้อย ไม่มากเกินไป แต่ความดีงามของจานนี้คือปลาดุกกรอบ ที่มาทั้งครีบ ซึ่งเป็นส่วนติดมันและอร่อยของปลาดุก จึงมาเสริมรสชาติให้จานนี้กลม กินเพลิน แป๊บๆ ก็หมด
จานที่สี่ ‘ปลานิลภูกามยาว’
ปลานิลทอดราดมาด้วยเครื่องสมุนไพร ตัวใหญ่ แต่เนื้อปลาถูกหั่นมาเป็นชิ้นแล้วจึงกินง่าย แถมทอดปลามาพอดีมาก ข้างนอกกรอบแต่ข้างในเนื้อปลายังนุ่มชุ่มฉ่ำ เครื่องสมุนไพรหอมมีทั้งตะใคร้ หอมแดง มะม่วง ใบชะพลู เสียดายที่เรามีกันสี่คน แต่หน้ามืดสั่งอาหารตั้ง 6 อย่าง และเมนูนี้จานอย่างใหญ่ เลยกินไม่หมด
จานที่ห้า ‘ยำผักกูดกุ้งสด’
ผักกูดสดมาก กัดเข้าไปแล้วยังกรอบเพราะถูกลวกมาอย่างพอดิบพอดี กุ้งก็ตัวใหญ่และสด น้ำยำไม่หวาน รสชาติไม่รุนแรงมาก โดยรวมถือว่าดีด้วยวัตถุดิบและรสชาติไม่ได้หวือหวาอะไรมาก แต่ไม่รู้เพราะรสชาติธรรมดาอันแสนเป็นกันเองนี้หรือเปล่า จานนี้หมดเป็นจานแรกเลยจ้า
จานที่หก ‘ซี่โครงหมูทอดมะแข่น’
มาเหนือทั้งทีต้องได้กินมะแข่น สมุนไพรท้องถิ่นที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว กินเข้าไปแล้วจะเผ็ดและรู้สึกปร่าที่ลิ้น ใครนึกไม่ออกให้นึกถึงความเผ็ดแบบหมาล่าแต่ไม่รุนแรงเท่า เมนูที่ร้านนี้มีทั้งไก่และซี่โครงหมูทอดมะแข่น เราเลือกกินหมู และมันอร่อยมากกก เครื่องเทศถูกหมักซึมลึกเข้าไปถึงเนื้อหมูแม้ในส่วนที่ติดกระดูก และหมูถูกทอดมาอย่างพอดีมากๆ กลิ่นมะแข่นไม่จางหรือแรงเกินไป ทำให้ได้ความหอมอันเป็นเอกลักษณ์ทุกคำ กระเทียมและใบมะกรูดทอดที่โรยมาก็เข้ากันได้ดีกับเมนูนี้มาก จบมื้อเมนูอาหาร เหล่าสมาชิกชวนกันโหวตว่าชอบจานไหนที่สุด และเมนูนี้ก็ชนะไปอย่างเอกฉันท์
พิกัดร้าน : https://goo.gl/maps/8jmXLX2cmLP2