ไปเจอรายการหนุ่มเกาหลีตระเวนกินอาหารโลคอลในไทยมาค่ะ ชื่อรายการว่า 뚜벅이 맛 총사 หรือ The Taste Musketeers นอกจากความเรียลที่เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังในย่อหน้าต่อๆ ไป ที่ดูแล้วรู้สึกประทับใจ คือการตั้งใจนำเสนออาหารไทยแบบบ้านๆ (โอเค มีอาหารในร้านหรูบ้าง แต่ไม่เยอะ) ผ่านภาพและการตัดต่ออย่างประณีตพิถีพิถัน เรียกว่าเป็นการเอาไอดอลและคนดังของเกาหลี มาเรียนรู้อาหารไทยและนำเสนอได้อย่างน่ากิน ดูจบแล้วขนาดคนไทยอย่างเรายังอยากไปกินตาม แล้วคนดูชาวเกาที่ติดตามโอปป้าเหล่านี้ มีหรือจะไม่อยากซื้อตั๋วเครื่องบินมาตามรอย นี่มันเป็น soft power ชั้นดีที่มีเครื่องมือเป็น ‘อาหาร’ โดยเอามาเจอกับวัฒนธรรมป๊อปอย่าง ‘ไอดอลเกาหลี’ แต่เสียดายที่เราไม่ได้ทำเอง เพราะงั้นเราคงเคลมไม่ได้ว่านี่คือ soft power แห่งประเทศไทย แต่ไหนๆ ชาวเกาเขาก็ทำให้ดูแล้ว เราไปดูกันหน่อยว่าทำไมรายการมันถึงสนุก
สามหนุ่ม ควอนยูล ยุนดูจุน อีซอจุน จะต้องไปกินอาหารใต้โจทย์ว่าเป็นร้านที่ไม่เคยออกรายการใดๆ เท่านั้น เรียกว่าต้องไปร้านแบบโลคอลที่มีแต่คนท้องถิ่นกิน พวกร้านมิชลิน ร้านที่ออก NF ร้านดังๆ มีแม่ช้อยนางรำหรือตรารับประกันอะไรงี้ไม่ได้ ถือว่าผิดคอนเส็ปต์ แล้วการจะไปร้านโลคอลทั้งสามหนุ่มก็ต้องช่วยเหลือตัวเอง รายการแค่พาขึ้นเครื่องบินมาปล่อยไว้ที่โรงแรมในไทย จากนั้นจะไปกินอะไร ไปกินร้านไหน ไปยังไง ทั้งสามต้องเป็นคนหาข้อมูลเอง แม้โจทย์รายการจะดูด้นสดเอามากๆ แต่การถ่ายทำก็ดูลงทุนและประณีตมากเช่นกัน นำเสนอความเรียลได้อย่างรื่นรมย์ นั่งดูไปก็คิดถึงตัวเองเวลาไปต่างบ้านต่างเมืองแล้วต้องหาอะไรกิน ชีวิตต้องสู้เหมือนกันเปี๊ยบ
แม้จะถูกรายการลอยแพ แต่สามหนุ่มก็เก่งใช่ย่อย ได้ไปกินของอร่อยๆ เพียบเลย ซึ่งเป็นผลมาจากการเสิร์ชบวกถามพนักงานโรงแรมแถมถามน้องธร-ไอดอลชาวไทยในวง WIND ที่เป็นเพื่อนกับดูจุน ความสนุกมันก็มาตั้งแต่การไล่ถามคนไทยที่เจอด้วยภาษาอังกฤษแบบงูๆ ปลาๆ ประสาคนพอพูดได้แต่ไม่คล่อง แล้วส่วนมากก็มักจะไปเจอคนพูดได้ไม่คล่องหรือพูดไม่ได้ แต่ความน่ารักของคนไทยก็คือตัวเองพูดอังกฤษไม่ได้ก็ไปหาคนที่พูดได้มาช่วยพูด แต่ละคนที่เจอแต่ละที่ที่ไป คนไทยดูเฟรนด์ลี่และพยายามช่วยแบบสุดๆ
สามหนุ่มเริ่มจากการตระเวนหาของกินตั้งต้นที่หน้าศาลาว่าการกรุงเทพฯ เสาชิงช้า ถูกปล่อยลงจากรถก็ตั้งใจว่าจะไปกินผัดไทย เดินตากแดดไปสามสิบนาทีจนบ่นว่าร้อนไม่ไหวก็ไปเจอคนเข้าแถวคิวยาววววว เพราะคือร้านเจ๊ไฝคนดังแห่ง NF ถามคนแถวนั้นก็แนะนำไปร้านทิพย์สมัย ซึ่งก็เป็นร้านดังอีกร้าน สรุปกินไม่ได้ ต้องเดินตามหาร้านโลคอลกันต่อไป จนไปได้พี่ชายที่ร้านแตงโมปั่นแนะนำให้ไปที่ร้านเต๊นท์ริมถนน เป็นร้านตามสั่งทั่วไป ที่นี่สามหนุ่มเลยสั่งผัดไทย กระเพราหมูสับ ไข่เจียวปู ผัดผักบุ้งไฟแดง น้ำมะพร้าว มากินแก้ร้อนกันแบบเต็มที่ พร้อมบอกว่าอร่อยทุกอย่าง แต่ที่ติดใจกันที่สุดคือผักบุ้งไฟแดง ช็อตน้องเล็กซอจุนยกจานปาดข้าวปาดผักบุ้งใส่ปากคือเห็นแล้วหิวขึ้นมาทันที
ก่อนช่วงเย็นจะจัดหนักแบบโลคอลด้วยการไปกินจิ้มจุ่มที่หนุ่มๆ บอกว่าคงคล้ายชาบู อันนี้ได้คำแนะนำจากพนักงานโรงแรมให้ไปที่ร้านโปรดคือบ้านอีสานเมืองยศ แถวสุขุมวิท เข้าไปในร้านแล้วก็มีความเก้ๆ กังๆ เพราะคนแน่นทุกโต๊ะ พนักงานบริการไม่ทั่วถึง ดูจุนพยายามจะเรียกแล้วก็ต้องยอมแพ้พร้อมบอกว่า “ไม่มีกระดิ่งให้กดเรียกด้วยอ่ะ” เอ็นดูคนเกาหลีที่ชินกับการกดกริ่งเรียกพนักงาน สุดท้ายน้องเล็กทำตัวเป็นคนไทยท่านหนึ่ง ลุกจากโต๊ะไปเรียกพนักงานถึงได้เมนูมา ซึ่งก็อ่านกันไม่ออก ดูรูปก็ไม่เข้าใจ อันไหนคือจิ้มจุ่ม เลยใช้วิธีถามโต๊ะข้างๆ (ฉันทำนะวิธีนี้ เวลาไม่รู้จะสั่งอะไรยังไง) สรุปได้จิ้มจุ่ม คอหมูย่าง ลาบหมู ข้าวผัดปู มาเป็นดินเนอร์ อยากให้เห็นหน้าตาคนหิวแล้วต้องรอจิ้มจุ่มสุก 30 นาที คือหิวกันจนคว้าผักบุ้งสดในตะกร้ามากิน 555555
วันอื่นๆ ก็เป็นการตระเวนกินแบบนี้แหละ มีทั้งหมูกระทะที่ร้านเฮง เฮง เฮง แถวสาทร เป็นร้านโลคอลริมถนนที่คนแน่นแบบต้องนั่งรอคิวอยู่ 30 นาที หิวก็หิว (อีกแล้ว) รอไปดูคนกินไป โดยจานที่ได้ใจหนุ่มเกาสุดคือเกี๊ยวกุ้งกรอบ ที่ตอนแรกสั่งจานเดียว ไปๆ มาๆ ปาเข้าไปสามจาน พี่ควอนยูลติดใจจนบอกว่าอยากเปิดร้านขายเกี๊ยวกุ้งกรอบที่เกาหลี ส่วนหมูกระทะนั้นหนุ่มๆ ลงความเห็นว่ามีความคล้ายหมูย่างเกาหลี และอยากแนะนำคนเกาหลีที่มาเที่ยวไทยให้ลองเปิดใจกับอาหารไทยด้วยเมนูนี้เพราะไม่แปลกลิ้นจนเกินไป มีความคุ้นเคยคล้ายอาหารบ้านตัวเองอยู่ ความน่ารักก็คือเจ้าของร้านมายืนทำให้หมด ทั้งคลุกหมูกับไข่ คีบหมูลงบนเตา ใส่น้ำซุป ใส่ผักต่างๆ เพราะเอ็นดูคนต่างบ้านต่างเมืองที่น่าจะทำไม่เป็น ข้อนี้ก็เหมือนตอนฉันไปกินหอยย่างที่ร้านโลคอลริมหาดแฮอุนแด อาจอชีเจ้าของร้านก็มาย่างหอย ตัดให้ คลุกเนยให้อยู่โต๊ะเดียว ชาติไหนๆ ก็เหมือนกันเนอะ ถ้ามีใจจะบริการและเอ็นดูคนต่างชาติ
อยู่ไทย 3 วัน สามหนุ่มตระเวนกินไปหลายย่าน ไปเดินกินที่ตลาดนัดกลางคืนงิ ไปซอยคอนแวนต์ สีลมงิ ไปเดินตลาดน้อย แวะคาเฟ่ริมแม่น้ำ นอนชิลล์จิบกาแฟงิ ไปสามเสนวิลล่าลองหมูสะเต๊ะ มัสมั่นเนื้อ แกงเขียวหวาน หมูทอดน้ำปลา ที่ทุกคนลงความเห็นว่าสมแล้วกับที่มัสมั่นคืออาหารอันดับ 1 ของโลกโดย CNN เพราะกลิ่นก็หอมเป็นเอกลักษณ์ รสชาติก็นัวกลมกล่อมงิ ไหนจะข้าวซอยไก่ ขนมจีนน้ำเงี้ยว แล้วไม่ได้ตระเวนกินกันแค่ในกรุงเทพฯ วันสุดท้ายของทริปถึงกับยกทีมกันไปพัทยา จัดต้มยำกุ้ง ทอดมันกุ้ง ห่อหมกทะเล ปลาหมึกผัดไข่เค็ม มาแบบเต็มโต๊ะ แถมไม่ใช่แค่ของกินที่หลากหลายจนเราเป็นคนไทยเองแท้ๆ ก็ยังอะเมซว่าอาหารไทยช่างมีเยอะแยะมากมายละลานตาอะไรเช่นนี้ เพราะ 4 วันในไทยของสามหนุ่มเกาคือกินกันไม่ซ้ำเมนู การเดินทางก็เช่นกัน มีทั้งนั่งรถตู้ ตุ๊กตุ๊ก แท็กซี่ รถประจำทาง บีทีเอส เรียกว่ามันดูเรียลเหมือนนักท่องเที่ยวทั่วไปจริงๆ และที่น่าเอ็นดูคือกินอะไรก็อร่อยไปหมด โดยเฉพาะดูจุนที่สมัยเป็นลีดเดอร์วง BEAST ได้มาไทยบ่อยๆ ดูจะเป็นคนที่คุ้นเคยและชอบอาหารไทยสุดๆ ไม่มีจานไหนเลยที่จะบ่นว่าไม่อร่อยหรือกลิ่นแรง มากี่เมนูพี่แกฟาดเรียบ ขนาดน้ำส้มยังบอกเป็นน้ำส้มที่อร่อยสุดเท่าที่เคยกินมา 5555
ก็เหมือนที่พูดไว้ในย่อหน้าแรกค่ะ อาหารไทยมีศักยภาพล้นเหลือที่จะเป็นเครื่องมือหนึ่งในการสร้างซอฟต์พาวเวอร์ เพียงแต่ปัญหาคือเรายังไม่ได้ทำมันแบบมีแผน มีเป้าหมาย และมีความสร้างสรรค์ อย่างต่อเนื่อง พอเห็นว่ารัฐบาลนี้ (พ.ศ.2566) จะลุยเรื่องนี้อย่างเต็มที่เราก็ยินดีมาก เลยอยากชวนดูรายการนี้เป็นตัวอย่างว่าเราเองก็ทำได้นะเฮ้ย แต่ที่สำคัญคือต้องลงทุนกับมันและปล่อยให้มันสนุกอย่างที่คนดูอยากดูจริงๆ ไม่ใช่นำเสนอแต่ต้มยำกุ้ง ผัดไทย แกงเขียวหวานเหมือนอย่างเคย
ไปลองดูกันได้นะคะ รายการชื่อ 뚜벅이 맛 총사 หรือ The Taste Musketeers ออนแอร์ทางช่องยูทูป channel S เอาชื่อรายการไปเสิร์ชได้เลย มีซับอังกฤษให้อ่าน แต่อย่าดูตอนกลางคืน เพราะมันจะหิวมากกกกก เตือนแล้วนะ!
ภาพ: 뚜벅이 맛 총사 channel S