วันนี้มีโอกาสมาเยือนย่านท่าเตียน กรุงเก่าที่เคยได้ยินชื่อมานาน เด็กสาวชาวเมือง (เหนือ) อย่างฉัน ก็อยากลองปลอมตัวเป็นนักท่องเที่ยว 1 วัน เป้าหมายหลักที่ต้องไปให้ได้เลย คือ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร หรือในชื่อ
‘วัดโพธิ์’ ที่คนรู้จัก แวะเช็กอินถ่ายรูปคู่กับพระมหาเจดีย์สี่รัชกาล โพสต์ท่ายกมือขึ้นพนมแบบสวยๆ เดินเลาะไปอ่านจารึกวัดโพธิ์ที่เคยเห็นในวิชาเรียน เวียนมารอขึ้นไปชมความงามของพระนอน แต่ต่อสู้กับเหล่ามวลชนมหาศาลไม่ไหว
ต้องขอยอมแพ้ เดินออกไปดื่มด่ำบรรยากาศแทน
ยังไม่ทันไร รังสีจากดวงอาทิตย์ก็เริ่มแผดเผาแขนขาของฉันจนรู้สึกร้อนผ่าว รีบวิ่งแจ้นหาเงาร่มไม้แทบไม่ทัน (หรือเหมือนที่เขาว่ากันว่า คนไม่ดีเข้าวัดแล้วร้อนหรือเปล่านะ ฮ่าๆ) แต่คนก็เยอะเสียจนไม่มีที่ให้อยู่ สุดท้ายนักท่องเที่ยวทิพย์อย่างฉันก็ตัดสินใจจบทริปทำบุญด้วยการเดินไปหาของอร่อย พักหลบแดดเย็นๆ แถววัดแทนละกัน
ตรงข้ามวัดโพธิ์ ตามถนนเส้นมหาราช ฝั่งท่าเตียน เต็มไปด้วยอาคารเก่าแก่สุดคลาสสิก และตึกสีเหลืองสองชั้นสไตล์โคโลเนียลสะดุดตา ตลอดข้างทางและตรอกซอกซอยมีทั้งร้านค้า ร้านอาหาร และคาเฟ่ แต่ก็เนืองแน่นไปด้วยผู้คนทั้ง
ชาวไทย ชาวต่างชาติ สาวอินโทรเวิร์ตจึงขอเลือกคาเฟ่เล็กๆ ดูอบอุ่น คนไม่พลุกพล่านเป็นที่หย่อนร่างกายแล้วกัน
วันนี้เลยลิสต์พิกัด 5 คาเฟ่ น่ารักๆ ย่านท่าเตียน มาแนะนำทุกคนสำหรับไว้หนีร้อน มาพักกายพักใจให้เย็นสบาย พร้อมอิ่มท้องแบบฉ่ำๆ กันค่ะ
TAKE a ZIZZ Cafe
ขอตั้งต้นที่ฝั่งตรงข้ามวิทยาลัยเทคโนโลยีตั้งตรงจิตรพณิชยการ เดินเยื้องไปหน่อยในซอยข้างธนาคารสีน้ำเงิน พบกับคาเฟ่เล็กๆ 1 คูหา สีขาวตัดสลับกับสีน้ำตาลของไม้ ไฟนีออนเหลืองนวล ให้อารมณ์อบอุ่น ภายในร้านชั้นล่างเป็นเคาน์เตอร์สำหรับสั่งขนมและเครื่องดื่ม ตามผนังทางเดินขึ้นไปชั้นสอง ถูกแปะด้วยโพสต์อิทหลากสีสัน ระบุข้อความภาษาไทย อังกฤษ เกาหลี จีน ฯลฯ เป็นกิมมิคเล็กๆ จากนักท่องเที่ยวที่แวะเวียนมาฝากเรื่องราวและความในใจของเขาไว้ที่นี่ (น่ารักมาก) ด้านบนตกแต่งด้วยดอกไม้ช่อน้อยๆ ตามผนัง ล้อไปกับโต๊ะเก้าอี้สีขาวและสีน้ำตาลสะอาดตา แสงแดดส่องผ่านผ้าม่านจากบานหน้าต่างเข้ามารำไร มีเสียงเพลงคลอไปด้วยเบาๆ ชวนเคลิบเคลิ้มไม่น้อย รวมถึงมีโซนสำหรับจำหน่ายเทียนหอมน่ารักๆ วางเรียงรายบนชั้นให้ได้เลือกชมด้วยค่ะ
จะมานั่งอย่างเดียวก็ไม่ได้ ต้องสั่งของอร่อยมากินควบคู่ไปด้วย เมนูเครื่องดื่มที่อยากแนะนำเลย คือ Matcha latte strawberry (150 บาท) Seasonal Menu เฉพาะช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม นี้ เพราะทางร้านใช้สตรอว์เบอร์รีสดจากสวนเชียงใหม่ส่งตรงมาถึงพระนคร เสิร์ฟแยกมาเป็นนมสตรอว์เบอร์รีในแก้ว ส่วนตัวมัทฉะแยกมาในโถพร้อมฉะเซ็น (Chasen) หรือแปรงชงชา ให้เราได้ลองสวมบทบาทเป็นคนชงชาด้วยตัวเอง แล้วราดลงไปบนนมสตรอว์เบอร์รีสีชมพูหวานแหวว ท็อปปิงด้วยสตรอว์เบอร์รีสด รสชาติอร่อยสมหน้าตา หวานน้อย นุ่มละมุน หอมสตรอว์เบอร์รีนำ ตามด้วยกลิ่นมัทฉะปลายๆ.กลมกล่อมเข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อ
อีกแก้วหนึ่งเป็นเมนูซิกเนเจอร์ตัวเด็ดของร้าน คือ Wonder Evening (150 บาท) ชาดอกไม้ที่ไม่มีคาเฟอีน คนที่แพ้คาเฟอีนหายห่วงได้เลยค่ะ ทางร้านใช้ชาลาเวนเดอร์ผสมกับชาคาโมมายล์ ให้กลิ่นหอมอ่อนๆ และยังช่วยให้ร่างกายได้ผ่อนคลาย สีชมพูที่ได้จากกระเจี๊ยบให้รสเปรี้ยวอมหวาน หอมกลิ่นแอปเปิลอบแห้งนำขึ้นมากกว่าใครเพื่อน บวกกับไรซัปสูตรพิเศษ หวานนุ่ม ดื่มแล้วรู้สึกสดชื่น คลายร้อนจากอากาศประเทศไทยได้ดีมากค่ะ
มาทางฝั่งของหวานกันบ้าง ตอนนี้เริ่มเข้าหน้าร้อนแล้ว เลยขอลองชิมเมนูประจำฤดูกาล อย่าง มะยงชิดชีสพาย (140 บาท) เนื้อมะยงชิดสดชิ้นใหญ่ๆ แปะลงบนครีมชีสนัวๆ ผสมกับแครกเกอร์บดกรุบกรอบ หอมเนย สดชื่น หวานกำลังดี แนะนำกินคู่กับชาดอกไม้ยิ่งเข้ากัน อีกเมนูที่ดีไม่แพ้กันเลย คือ มิกซ์เบอร์รี โอรีโอ ชีสพาย (120 บาท) ชีสพายมิกซ์เบอร์รีตัวเด็ด หวาน มัน นัว เปรี้ยวอ่อนๆ ราดซอสชุ่มฉ่ำพร้อมเนื้อเบอร์รีที่ยังมีให้ได้เคี้ยวนิดๆ ขอบพายเป็นโอรีโอบดสุดเข้มข้น
ซึ่งทางร้านทำเองทุกเมนู ใครอยากหนีร้อนมาพึ่งเย็นชิลล์ๆ พร้อมฝากท้องครบจบได้ที่ร้านนี้เลยค่ะ เพราะเขายังมีเมนูอื่นๆ ให้เลือกอีกมากมาย และสำหรับ Seasonal Menu อาจจะมีถึงแค่เดือนมีนาคมนี้ ต้องรีบไปลองกันนะคะ
FB: TAKE a ZIZZ Cafe
เปิด-ปิด: 10.00- 18.00 น. (ปิดทุกวันจันทร์)
GHEE Gelato House
เดินเลยร้านแรกเข้าไปหน่อย ภายในซอยเดียวกัน เจอกับร้านไอศกรีมสีดำสุดเท่ โดดเด่นมองเห็นแต่ไกล เป็นคาเฟ่ที่รวมสุดยอดเจลาโต้รสเยี่ยมไว้ที่นี่ การันตีด้วยความรู้และประสบการณ์ของเจ้าของร้าน ที่เธอได้ไปเรียนทำเจลาโต้ถึงที่ Carpigiani Gelato University โดยเฉพาะ (แอบเห็นจากประกาศนียบัตร) ทำให้ที่ร้านมีไอศกรีมหลากหลายรสชาติ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไม่ซ้ำ
พอเข้ามาในร้าน ก็เห็นตู้ไอศกรีมขนาดใหญ่ มีไอศกรีมหลายรสชาติละลานตา ไม่รีรอกดกริ่งเรียกพนักงานทันที ที่ร้านเขามีให้ลองชิมไอศกรีมก่อนด้วยนะคะ เพื่อเช็คว่าเราชอบรสชาติไหน ตอนซื้อไปจะได้กินอร่อยจนช้อนสุดท้าย และมีให้เลือกหลายขนาด ทั้งแบบถ้วย แบบโคน สำหรับถ้วยเริ่มต้น 1 รสชาติ ราคา 100 บาท เลือกได้สูงสุด 3 รสชาติ ราคา 140 บาท
หลังจากยืนชิมอยู่พักใหญ่ ต้องบอกก่อนว่าจริงๆ แล้วชอบทุกรสชาติเลยค่ะ แต่ต้องขอเลือกรสชาติที่แปลกใหม่และโดนใจที่สุด โดยแบ่งเป็นจำพวกหวานและเปรี้ยวอย่างละถ้วย เริ่มกันที่ถ้วยหวาน ประกอบไปด้วย London Fog เป็นความผสมผสานอย่างลงตัวของชาเอิร์ลเกรย์และวานิลลา ทำให้ไอศกรีมถ้วยนี้มีรสชาติหวาน นุ่ม หอมเอิร์ลเกรย์แบบตะโกน ได้วานิลลามาเสริมรสหวาน ลบความขมของชาออก เหมาะกับคนรักชานมมากๆ ค่ะ
รสชาติต่อมา Salted Pistachios ไอศกรีมเนื้อแน่นหนึบ เนียนละมุน ใช้ถั่วพิตาชิโอคุณภาพดีนำเข้าจากต่างประเทศ หอม มันจากถั่วพิตาชิโอโดดเด่น บวกกับคาราเมลเค็มปนหวานเล็กน้อย รสชาตินัวครบจบที่เดียว ถูกใจสาวกถั่วอย่างแน่นอน
และหวานสุดท้ายมาในชื่อเก๋กู๊ดอย่าง Love Potion มีส่วนผสมของสตรอว์เบอร์รีและไวท์ช็อกโกแลต ตอนไปกินเป็นรสชาติใหม่พอดีเลยค่ะ เมนูนี้ให้ความหวานแบบสดชื่น ซ่อนความเปรี้ยวจากสตรอว์เบอร์รี นุ่ม ละมุน กินได้เพลินๆ สำหรับราคาถ้วยนี้ตกอยู่ 150 บาท บวกเพิ่ม 10 บาท จาก Salted Pistachios ที่ราคาสูงกว่ารสชาติอื่นๆ ค่ะ
มาต่อกันที่ถ้วยเปรี้ยว ประกอบไปด้วยรสชาติ Lemon Curd Crumble ได้รสเปรี้ยวอมหวานกำลังดี หอมเลมอนชัดขึ้นจมูก กินแล้วสดชื่น มีครัมเบิลโฮมเมด เนื้อสัมผัสกรุบกรอบ หอมเนยน้ำตาลอ่อนๆ อีกรสชาติ คือ Greek Yogurt Honey ไอศกรีมเนื้อเนียน รสกรีกโยเกิร์ต เปรี้ยว มัน เค็ม หวานนิดๆ หอมน้ำผึ้ง กินไปจนเผลอรู้สึกดีต่อสุขภาพ (ห๊ะ!) เป็นคู่เปรี้ยวที่กินด้วยกันลงตัว ไม่หวานเกิน ไม่เปรี้ยวเกินไป ปิดจบด้วยกัดช็อกโกแลตที่ตกแต่งมาดังเป๊าะ! ช่างเป็นเมนูคลายร้อนที่ดีทีเดียวเลยค่ะ สำหรับ 2 รสชาติ ราคา 120 บาท
ใครชื่นชอบไอศกรีมเจลาโต้ ต้องถูกใจคาเฟ่นี้แน่นอน หรือใครที่เบื่อคาเฟ่เครื่องดื่มก็แวะมานั่งกินไอศกรีมเย็นๆ แชะรูปเก๋ๆ ได้เลยนะคะ เพราะชั้นสองของร้านที่มีบริการสำหรับลูกค้า มีบันไดวน ผนังชั้นวางตกแต่งหรูหราราวกับบ้านสไตล์ยุโรปสวยงาม
FB: GHEE Gelato House
เปิด-ปิด: อังคาร-เสาร์ 12.30-19.00 น. / อาทิตย์ 12.30-18.00 น.
Ports Coffee
ถ้าเป็นสายกาแฟ แล้วต้องการเพิ่มหลอดพลังงานชีวิตระหว่างวันละก็ เดินต่อจากร้านก่อนหน้ามาอีกแค่สองซอย จะเจอเข้ากับคาเฟ่ 1 คูหา เรียบง่ายสไตล์ญี่ปุ่น ตึกสีครีมตัดกับไม้สีน้ำตาล ชั้นแรกเป็นเคาน์เตอร์ตัวยาวที่ตั้งเครื่องทำกาแฟ
ตู้โชว์ขนมเบเกอรี ให้เราออเดอร์ แล้วเลือกไปนั่งบนชั้นสองส่วนที่เป็นชั้นลอย มีโต๊ะเก้าอี้ เฟอร์นิเจอร์จัดวางตามมุมต่างๆ กระจกบานใหญ่ทำหน้าที่เป็นทางผ่านให้แสงแดดลอดเข้ามาส่องความสว่าง ทำให้รู้สึกถึงความอบอุ่นแต่เย็นสบาย มีเสียงเพลงคลอเบาๆ อยู่ตลอดเวลา เหมาะแก่การหลบร้อน มานั่งพูดคุย ดื่มกาแฟเย็นๆ เติมชีวิตชีวาจริงๆ เลยค่ะ
สำหรับเครื่องดื่มของที่นี่มีให้เลือกมากมาย แต่ทีเด็ดอยู่ที่กาแฟ เพราะแอบรู้มาว่าที่ร้านมีโรงคั่วเมล็ดกาแฟของตัวเองด้วย และเมนูที่อยากแนะนำให้ทุกคนลองมากๆ เลยก็คือ sesame coffee latte (120 บาท) ความพิเศษคือ ทางร้านใช้ครีมงาดำสูตรพิเศษ แทนนมงาดำแบบทั่วไป เทลงในลาเต้นุ่มๆ ทำให้กาแฟแก้วนี้ได้ทั้งความมัน นุ่มนวล หอมงาดำ นัว ละมุนกว่ากาแฟใดๆ เวลาดื่มอาจต้องคอยกวนไม่ให้งาดำนอนก้น จะได้รสชาติความอร่อยมากยิ่งขึ้นค่ะ หรือสำหรับคนที่ต้องการบูสต์พลังพร้อมกับความสดชื่น ขอแนะนำเป็น Orangano (100 บาท) กาแฟส้มรสชาติเข้มข้น ได้รสส้มแบบเต็มๆ เป็นแก้วที่รวมความขม หวาน และเปรี้ยวไว้ได้อย่างลงตัว รับรองว่าสดชื่น หลอดพลังเต็มเปี่ยมแน่นอน
มาที่ตัวขนมของร้านนี้บ้าง ปกติทางร้านมีประมาณ 4-5 เมนู แต่เราได้เลือกมา 2 ตัวที่ล่อตาล่อใจ คือ ครอฟเฟิล (85 บาท) และ คานาเล่ (75 บาท) ตัวครอฟเฟิลกรอบนอกนุ่มใน แม้ว่าเราจะมัวแต่ถ่ายรูปจนผ่านไป 5 นาที ผิวด้านนอกก็ยังกรอบอยู่ เนื้อนุ่ม หอม มันจากเนย ส่วนคานาเล่สีเข้มสวย ผิวด้านนอกกรอบมาก หอมกลิ่นน้ำตาลไหม้ หวานปนขมปลายเล็กๆ เนื้อด้านในนุ่ม ชุ่มฉ่ำ มีกลิ่นวานิลลาและรัมที่เป็นเอกลักษณ์
นอกจากนี้ทางร้านยังมีเมนูเครื่องดื่มอีกมากมาย มี Non-Coffee สำหรับคนไม่ดื่มกาแฟด้วยนะ หากต้องการหาคาเฟ่เย็นๆ นั่งสบายๆ ท่ามกลางย่านที่คนพลุกพล่านอย่างท่าเตียน Ports Coffee ถือว่าเป็นอีกร้านที่ตอบโจทย์ค่ะ
FB: Ports Coffee
เปิด-ปิด: 09.00-18.00 น. ปิดทุกวันพุธ
A Pink Rabbit + Bob
เดินถัดออกไปเรื่อยๆ ตามทางเท้า มาหยุดอยู่ตรงข้ามกับวัดโพธิ์พอดิบพอดี เพราะไปสะดุดตาเข้ากับตู้เค้กขนาดใหญ่ ที่อัดแน่นไปด้วยเค้กก้อนโตหลากหลายรสชาติ นอกจากจะอึ้งกับจำนวนเค้กในตู้แล้ว ยังอึ้งไปกับขนาดเค้ก 1 ชิ้น ที่แต่งแต้มไปด้วยวัตถุดิบจนแทบไม่เห็นครีมเค้ก
ระหว่างที่ยืนดูอยู่ คนก็มุงเข้ามาไม่หยุดหย่อน ทั้งคนไทยคนต่างชาติ ภายในร้านค่อนข้างแคบ มีลูกค้าเข้าออกตลอด ทว่ายังโชคดีว่าเหลือโต๊ะด้านในสุดของร้าน ที่เป็นเหมือนพื้นที่ว่างใต้ชานพักบันได เอามาดัดแปลงเป็นที่รับรองลูกค้า ประมาณ 3-4 โต๊ะ ประดับประดาไปด้วยของตกแต่งเก่าแก่ ราวกับบ้านนักสะสม ดูคลาสสิก ไฟสลัวๆ ออกจะมืดเล็กน้อย แต่ก็ให้อารมณ์เหมือนร้านลึกลับไปอีกแบบค่ะ
พอได้ที่นั่งเรียบร้อย ก็ออกไปยืนเลือกเค้กที่เราแอบเล็งไว้ก่อนแล้ว สาวหวานน่ารักอย่างเรา ก็ต้องเป็น เค้กเรดเวลเวท Princess Scarlet (185 บาท) เนื้อเค้กสีแดงสดใส ตัดสลับเลเยอร์กับครีมสีขาว ที่มีความสูงถึง 8 ชั้น ท็อปด้วยสตรอว์เบอร์รีและบลูเบอร์รีสด แล้วโปะด้วยวอลนัทสีน้ำตาลคาราเมลแบบจุกๆ จนแทบมองไม่เห็นวิปครีม เนื้อเค้กแน่น หนึบ หวานกำลังดี วอลนัทกรอบ หอม มัน เคี้ยวเพลินๆ
อีกเมนูที่คู่กับสาวหวานและงามอย่างไทย ก็ต้องเป็น เค้กลอนตาล Toddy Plam Meringue (185 บาท) เมอแรงก์เค้กสีน้ำตาลไหม้ เนื้อนุ่มฟู ละลายในปาก ซ่อนด้วยลูกตาลเชื่อมชิ้นโต หวาน นุ่ม เต็มคำ ส่วนล่างสุดเป็นทาร์ตกรุบกรอบ ราดช็อกโกแลตเข้มข้น แนะว่าเวลากินควรตักให้ครบทุกชั้นในคำเดียว เพื่อเพิ่มความกลมกล่อมช่วยให้ไม่หวานเกินไป แต่สำหรับคนไม่ชอบหวานอาจผ่านเมนูนี้ไปก่อนได้ค่ะ
นอกจากนี้ทางร้านยังมีเมนูเค้กและเครื่องดื่มอื่นๆ อีกเยอะมาก ถ้าใครผ่านไปเที่ยววัดโพธิ์ ลองแวะไปลิ้มลองดูสักครั้งนะคะ แต่ต้องเผื่อใจเรื่องโต๊ะนิดหน่อย เพราะลูกค้าเขาเยอะจริงๆ ค่ะ
FB: A Pink Rabbit + Bob / ท่าเตียน
เปิด-ปิด: 09.00-20.00 น. ทุกวัน
SLOWBAR : Slow coffee & Juice bar
มาถึงร้านสุดท้าย ตั้งอยู่ในซอยที่สามารถมองเห็นพระปรางค์วัดอรุณฯ อีกฝั่งแม่น้ำได้ (ตรงข้ามกับสถานที่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน) ร้านตกแต่งเป็นคาเฟ่สไตล์มินิมอลด้วยโทนสีขาว ก่อนเดินเข้าก็จะหยุดชะงักเล็กน้อย เพราะเขามีประตูทางเข้าถึงสองทาง ต้องแอบมองเข้าไปให้พอเห็นเคาน์เตอร์บาร์ที่อยู่ฝั่งประตูบานขวา แล้วจึงค่อยๆ เปิดประตูเข้าไป
ภายในร้านค่อนข้างเล็กและแคบ มีม้านั่งทอดยาวติดกับผนัง และมีโต๊ะไม่มากนัก แต่ยังมีพื้นที่บริเวณชั้นสองและอีกหนึ่งชั้นลอยเก๋ๆ ที่มีโต๊ะเก้าอี้ให้เลือกนั่งเยอะเลย ต้องขอชื่นชมการจัดสรรพื้นที่ได้อย่างคุ้มค่า ทั้งยังตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ ต้นไม้ และใบไม้ ให้อารมณ์เหมือนนั่งอยู่ในบ้านสวน เงียบ สงบ นั่งได้เรื่อยๆ เลยค่ะ
สำหรับเมนูเครื่องดื่มที่นี่ ต้องบอกว่าเอาใจสายรักสุขภาพสุดๆ เพราะเมนูซิกเนเจอร์ของทางร้านส่วนใหญ่เป็นน้ำสกัดจากผักผลไม้ สมูทตี้ เมนูธัญพืชต่างๆ แต่ก็มีจำพวกกาแฟ ชา นม อิตาเลี่ยนโซดา และขนมเบเกอรีอยู่ด้วย อย่างไรก็ตาม เราก็ไม่พลาดลองเมนูขึ้นชื่อ อย่าง Go Green (120 บาท) น้ำสกัดเย็นจากผักโขม ขึ้นฉ่าย สับปะรด แอปเปิล และเสาวรส ที่ได้รสชาติของผักผลไม้แท้ๆ แบบเข้มข้น 100% เหมาะกับอากาศร้อนๆ กินแล้วสดชื่น แต่ส่วนตัวคิดว่าต้องรีบกินหน่อย เพราะเสิร์ฟมาไม่ค่อยเย็นจัด น้ำแยกชั้นกันเร็ว และยิ่งพอหายเย็นจะกินยากกว่านิดหน่อยค่ะ
อีกแก้วคือ Go Yellow (120 บาท) เป็นซีรีส์เดียวกัน สกัดจากตะไคร้ ฝรั่ง สับปะรด และขิง แก้วนี้จะได้กลิ่นขิงและตะไคร้ตีขึ้นจมูกชัดเจน ได้รสเปรี้ยวอมหวานจากสับปะรด แต่กินไปสักพักก็รู้สึกเผ็ดร้อนเพราะฤทธิ์จากขิง อาจไม่เหมาะกับคนที่ต้องการความเย็นสดชื่นเท่าไหร่ และค่อนข้างกินยากกว่าเมนูแรก ใครที่ไม่ใช่สายกรีนตัวจริงอาจละเมนูไว้ก่อนก็ได้ค่ะ แต่แน่นอนว่าสองแก้วนี้ทั้งดีต่อใจและดีต่อร่างกายแบบ 300 %
อีกเมนูที่ชอบมากของร้านนี้คือ Smoothie Chia Pudding เป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างสมูตตี้ พุดดิ้งเมล็ดเจีย โยเกิร์ต และผลไม้สดอย่างกีวี มะม่วง สตรอว์เบอร์รี และส้ม พอกินทุกอย่างรวมกันในคำเดียว ได้รสหวานซ่อนเปรี้ยวกำลังดี พุดดิ้งเมล็ดเจียเนื้อนุ่ม ละมุน หอมโยเกิร์ต รสมัน นัว สดชื่น ช่วยดับร้อน ที่สำคัญมีประโยชน์ต่อสุขภาพคับแก้ว
FB: SLOWBAR : SlowCoffee&JuiceBar
เปิด-ปิด: 10.00 18.30 น. (ปิดทุกวันอังคาร)
เรื่อง สุจินันท์ เอกชีวะ