Bangkok Tadka ร้านอาหารที่จะทำให้คุณหลงรักเครื่องเทศ
STORY BY นภาพร สิมณี | 26.03.2022

1,570 VIEWS
PIN

image alternate text
image alternate text
ร้านอาหารอินเดียสไตล์ไทยที่ตั้งใจลบภาพจำเรื่องกลิ่นเครื่องเทศแรง

Bangkok Tadka คือร้านอาหารอินเดียที่ตั้งอยู่ในย่านจรัญสนิทวงศ์ เป็นห้องแถวเล็กๆ มีเพียงไม่กี่โต๊ะเท่านั้น เสน่ห์ของร้านนี้จะเป็นอะไรไปไม่ได้เลยนอกจากอาหารอินเดีย ที่ถูกเชฟที่หลงใหลในการทำอาหารจัดการดัดแปลงสูตรอาหาร ด้วยอุดมการณ์ที่อยากจะเปลี่ยนทัศนคติของคนไทยที่มีต่ออาหารอินเดียที่ว่าเหม็นและกลิ่นแรง เมื่อมากินอาหารที่ร้านจะได้พบว่าไม่ได้เป็นอย่างที่เคยคิด ความตั้งใจของเชฟคือให้ทุกคนที่มากินอาหารที่ร้านได้ลิ้มรสความหอมอร่อยของเครื่องเทศที่เชฟได้ปรุงแต่งมันขึ้นมาเอง ผสมเอง ทำเองแทบจะทุกสิ่งอย่าง และความพยายามนั้นก็สำเร็จมาเป็นจานอาหารที่พร้อมเสิร์ฟอยู่ในร้าน

ร้านอาหารอินเดีย

ในขณะที่ก้าวขาเข้าไปในร้าน สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือกลิ่นเครื่องเทศหอมๆ มองเข้าไปก็เห็นคู่สามีภรรยาที่ช่วยกันทำอาหารในครัวเล็กๆ ในขณะที่ภรรยากำลังนวดแป้งและทอดแป้งนั้น อีกด้านสามีก็กำลังผัดเครื่องเทศสำหรับใส่ในแกงสักอย่าง นี่สินะ ที่มาของกลิ่นที่หอมฟุ้งไปทั่วร้าน พอได้ที่นั่งเป็นที่เรียบร้อย เชฟก็ออกมาทักทาย และทยอยนำอาหารมาเสิร์ฟ พร้อมบอกชื่อเมนูแต่ละจาน

อาหารอินเดีย

เริ่มด้วยเมนูแรกที่แนะนำว่าถ้ามาร้านนี้ยังไงก็ต้องสั่ง นั่นก็คือ Chicken 65 (150 บาท) เมนูไก่ชุบแป้งทอด ซึ่งเป็นเมนูกินเล่นของคนอินเดีย หน้าตาไก่ทอดเหมือนไก่ทอดคาราเกะของญี่ปุ่น แต่ Chicken 65 มีความพิเศษตรงที่มีการใส่เครื่องเทศลงไป แป้งที่คลุกมาไม่หนานักแถมยังกรอบมากกกกก รสชาติของเนื้อไก่ก็ชุ่มฉ่ำ ออกเค็มแต่ไม่เค็มมาก สามารถกินเล่นได้ และถึงจะบอกว่าเป็นไก่ทอดเครื่องเทศ แต่เครื่องเทศไม่ได้แรงขนาดนั้น โดยเฉพาะเครื่องเทศที่ทำให้จานนี้อร่อยมากขึ้นก็คือ Curry Leaf หรือใบกะหรี่ ซึ่งเมนูทางภาคใต้ของเราก็นิยมใช้เช่นกัน ใบกะหรี่ที่ไทยจะรู้จักกันดีในชื่อ ‘ใบไม้ที่ใส่ในแกง’ บางที่เรียกว่าต้นหมุย เป็นใบที่เพิ่มรสชาติและความหอมได้เป็นอย่างดี

อาหารอินเดีย

เมนูที่นำ Chicken 65 มาเพิ่มความอร่อยยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ Chicken 65 Masala (150 บาท) เช่นกัน เป็นเมนูที่ทำให้ Chicken 65 ที่อร่อยอยู่แล้ว เชฟก็ยังรังสรรค์ให้อร่อยยิ่งขึ้นไปอีก โดยการนำไปผัดกับซอสสูตรของทางร้าน เพราะอยากให้ได้กิน Chicken 65 ที่แตกต่างจากเดิม ไก่กรอบนอกนุ่มใน เครื่องเทศที่ชุ่มอยู่บนแป้ง และกลิ่นเครื่องเทศที่มากขึ้น ทำให้เมนูนี้มีเสน่ห์ตรงความหลากหลายในรสชาติและรสสัมผัส

อาหารอินเดีย

เมนูต่อไปเหมาะกับคนที่เริ่มกินข้าวที่มีเครื่องเทศเป็นส่วนผสมแต่กลัวว่าจะกลิ่นแรงเกินไป นั่นก็คือ Masala Fried Rice (60-100 บาท) มีให้เลือกเป็นข้าวผัดไก่หรือปานีร์ ซึ่งปานีร์ก็คือชีสสดของอินเดีย แต่ที่สั่งมาในวันนี้เป็นไก่ มีสองขนาดให้เลือกสั่งก็คือแบบจานเล็กกับจานใหญ่ ข้าวผัดไก่มาซาล่าจานนี้รับรองว่าถูกปากคนไทยแน่นอน เพราะคล้ายข้าวผัดบ้านเรามากๆ เมนูนี้ใช้ข้าวหอมไทยผัดกับเครื่องเทศ ซึ่งเครื่องเทศก็ไม่จัดจนเกินไป กินได้เรื่อยๆ รสชาติกลมกล่อม เป็นข้าวผัดที่ผัดออกมาได้ข้าวเป็นเม็ด ไม่แห้งและไม่แฉะ ที่มาที่ไปของเมนูนี้เชฟเล่าว่าเคยเจอลูกค้าบางคนที่ไม่ชอบข้าวบาสมาติที่อยู่ในเมนู biryani เชฟเลยคิดเมนูนี้ขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหา

อาหารอินเดีย

ต่อมาเป็นแกงที่ทุกร้านอาหารอินเดียจะต้องมี นั่นก็คือ Butter Chicken (150 บาท) แต่ต้องบอกเลยว่าของร้านนี้มีความกลมกล่อมกินง่าย มีกลิ่นมะม่วงที่อาจจะมาจากผงเครื่องเทศสูตรลับของทางร้าน เนื้อไก่เป็นเนื้อไก่ฉีกชิ้นพอคำไม่ใหญ่มาก มีความมัน เครื่องเทศไม่ฉุนเลยถ้าเทียบกับเมนูต่อไปที่เราจะพูดถึง นั่นก็คือ Butter Chicken Masala (150 บาท) เมนูนี้จะต่างกันตรงที่เครื่องเทศจัดกว่าค่อนข้างมาก เนื้อก็ข้นกว่า ใครไม่ชอบเครื่องเทศจัดๆ แนะนำให้สั่ง butter chicken หรือคนไหนที่สายเครื่องเทศ อยากลองแกงอินเดียจ๋าๆ ก็จัด Butter Chicken Masala เลยค่ะ

อีกหนึ่งเมนูที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่งเพราะหากินได้ยาก เนื่องจากส่วนใหญ่ร้านอาหารอินเดียจะใช้เนื้อวัว เนื้อไก่ และเนื้อแกะเป็นโปรตีนหลักในอาหาร แต่ร้านนี้ใช้ปลามาทำเมนูที่ชื่อว่า Mustard Fish (160 บาท) แถมยังราคาค่อนข้างถูก เพราะให้ปลามาเยอะทีเดียว เมนูนี้เป็นเมนูแกงปลาที่ใส่เมล็ดมัสตาร์ด ใช้ปลากระพงทอดกรอบๆ ราดด้วยแกงสูตรเฉพาะของทางร้าน รสชาติเค็มนำ แต่ลักษณะเด่นของจานนี้อยู่ที่เครื่องเทศจริงๆ ค่ะ หอม อร่อยไม่เหมือนใคร

ต่อมาเป็นเมนูตัดเลี่ยน Chicken Tikka Salad (150 บาท)ใช่ค่ะ มันคือสลัดผักที่ใส่ไก่ย่าง ซึ่งอร่อยมากกกกกก เป็นเมนูที่อร่อยเกินหน้าเกินตาเพื่อนๆ ที่วางบนโต๊ะมาก รสชาติคล้ายสลัดแขก แต่ไม่มีถั่วเป็นส่วนผสม รสชาติออกเปรี้ยว หวาน สดชื่น เป็นเมนูตัดเลี่ยนอย่างแท้จริง

เมนูสุดฮิตที่รองจาก Butter Chicken ก็คงจะเป็น Chicken Tikka (150 บาท) ไก่ไม่มีกระดูกหมักเครื่องเทศและนำไปย่าง ของร้านนี้เครื่องเทศไม่แรง รสชาติดี แต่เนื้อไก่เป็นส่วนของเนื้ออกเลยออกจะแห้งไปนิดหน่อย ส่วนตัวคิดว่าเอาไปกินคู่กับสลัดหรือเอาไปทำเป็นแกงน่าจะดีกว่ากินเปล่าๆ

ต่อไปเป็นเมนูเอาใจคนไม่กินเนื้อสัตว์นั่นก็คือ Malai Kofta (150 บาท) เป็นแกงที่น้ำแกงมีความคล้าย Butter Chicken แต่ใส่ลูกกลมๆ ลงไปแทน ซึ่งลูกกลมๆ นั้นก็คือมันบดไส้ชีสที่อร่อยมาก เป็นมันบดหวานๆ ไส้ชีสข้างในมันๆ กินคู่กับแกงรสเค็มอ่อนๆ เครื่องเทศหอมๆ เป็นเมนูสำหรับคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์แต่อยากกินอะไรรสจัด สั่งได้เลย ไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ

สุดท้ายคือเมนูที่เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของตะวันออกกลาง Chicken Biryani (150 บาท) แต่ละร้านมีสูตรที่ไม่เหมือนกัน ทำให้มีเสน่ห์แตกต่างกันออกไป ส่วนใหญ่จะเสิร์ฟเป็นจานใหญ่ ซึ่งร้านนี้ก็เช่นกัน ให้มาเยอะมากในราคาย่อมเยา Chicken Biryani ของที่นี่ทำได้ต่างจากที่อื่นๆ ที่เคยกิน มีความหอมเครื่องเทศแบบไม่จัดจนเกินไป ตอนกินไม่กัดโดนเครื่องเทศเป็นเม็ดๆ แบบที่เคยกินที่อื่นที่กัดโดนเครื่องเทศเม็ดใหญ่ๆ ก็แอบตกใจเหมือนกัน ตัวข้าวเป็นข้าวบาสมาติที่ทำได้ร่วนเป็นเม็ดสวยงาม ไม่เค็มมาก เพราะเชฟคงจะกะให้กินคู่กับไก่นุ่มๆ ที่ปรุงรสมาให้พอดีกับข้าว จานนี้ถือว่าลงตัวในรสชาติมากที่สุด

จบจานหลักก็มาที่ของกินเล่นกันบ้าง เริ่มจาก Samosa (15-40 บาท)ที่คล้ายกระหรี่ปั๊บบ้านเรา มีให้เลือกถึง 5 ไส้ นั่นก็คือ ไส้มันฝรั่ง ไส้ไก่ ไส้ชีส ไส้ผักโขม และไส้แกะ เราแนะนำเป็นไส้แกะ อร่อยที่สุด ไม่มีกลิ่นเหม็นของแกะเลย แป้งกรอบมาก ทางร้านทอดแบบที่ต่อที่ ทำให้ได้กินตอนร้อนๆ มีน้ำจิ้มหวานๆ เปรี้ยวๆ ตัดรสเค็มของไส้ได้ดี

และที่ขาดไม่ได้ก็คือแป้งที่เอาไว้กินคู่กับแกงต่างๆ ซึ่งร้านนี้เขาทำแป้งเองอีกแล้วค่าท่านผู้ชม มีหลายรสชาติให้เลือกสั่ง แถมราคายังเป็นมิตรสุดๆ ไปเลย ซึ่งแป้งนานจะมีทั้ง Plain Naan (30 บาท) Butter Naan (35 บาท) Garlic Naan (45 บาท) และ Cheese Naan (65 บาท) ทุกรสชาติทำออกมาได้ดี อาจจะเพราะร้านทำแป้งเองและทำใหม่ที่ต่อที่ เลยทำให้แป้งยังร้อนและนุ่มอยู่ เอามากินกับแกงก็คืออร่อยและเข้ากันที่สุด แต่ที่ร้านก็ไม่ได้มีแค่แป้งนาน แต่ยังมีแป้งชนิดอื่นๆ เช่น Paratha  (25 บาท) ทำจากแป้งโฮลวีท Parotha (25 บาท) ทำจากแป้งหมี่ และ Tawa Roti (10 บาท)

ปิดท้ายมื้อหนักของเราในวันนี้ด้วยเครื่องดื่ม Mango Lassi (55 บาท) ที่เหมาะกับการปิดท้ายมื้อสุดๆ ด้วยรสชาติอมเปรี้ยวอมหวาน ทำให้เป็นเสมือนทั้งเครื่องดื่มและของหวานไปในตัว เพราะเนื้อค่อนข้างไปในทางสมูทตี้ที่มีความหนักหน่อย ถ้าเทียบกับ Lassi ปกติ แต่ก็สามารถดื่มได้

ร้าน Bangkok Tadka นั้นเพิ่งเปิดมาได้ประมาณ 2 ปี โดยทำอาหารออกงานมาก่อนที่จะมาเปิดหน้าร้าน และเมนูที่เล่ามานี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งในร้านเท่านั้น เชฟบอกว่าจริงๆ แล้วเขามีเกือบร้อยเมนูเลยทีเดียว ซึ่งก็น่าจะเป็นเพราะเครื่องเทศในอาหารอินเดียค่อนข้างเยอะ และเสน่ห์ของอาหารอินเดียก็คือการผสมเครื่องเทศที่ต่างกันในแต่ละจาน ซึ่งทำให้ได้เมนูใหม่ไปเรื่อยๆ

และที่ต้องบอกก็คือจะเคลมว่า Bangkok Tadka เป็นร้านอาหารอินเดีย 100% ก็คงพูดได้ไม่เต็มปาก เพราะเชฟยืนยันว่าความตั้งใจของร้านคือปรับสูตรให้ถูกปากคนไทยมากขึ้น อาจมีการปรับลดเครื่องเทศ หรือรสชาติไปบ้าง แต่เสน่ห์ของเครื่องเทศในอาหารอินเดียก็ยังคงอบอวลอยู่ในทุกๆ เมนูของ Bangkok Tadka

พิกัด: ซอยจรัญสนิทวงศ์ 11 (แนะนำให้นั่ง MRT ลงสถานีจรัญ 13 และเดินเข้าซอย)

เปิด-ปิด: 11.00น. – 19.30น. (หยุดวันจันทร์หรือเมื่อร้านออกงาน)

โทร: 098-103-1986

https://www.google.com/maps/dir/?api=1&destination=13.73981%2C100.46905&fbclid=IwAR3sD3a2ONUa3HbORP9vnZZarfObO5sBHf9xqgIcBNQRdmg7K-tQQ4x9rQQ

บทความเพิ่มเติม
Mashallah ร้านอาหารปากีสถานฉบับเมืองเปศวาร์ หากินยาก!
ตะลุยกินอินเดีย 1 วัน 6 ร้าน 57 เมนู!

คู่มือสั่งอาหารอินเดียฉบับผู้เริ่มต้น อ่านง่าย ไม่มึน

RECOMMENDED ARTICLES
RECOMMENDED VIDEOS