ฮอตไม่ฮอตก็น่าจะพูดได้ว่าไม่มีใครไม่รู้จักสุดยอดพ่อค้าออนไลน์อย่าง ฮะซัน – อนุรักษ์ สรรฤทัย เจ้าของธุรกิจ ‘อาหารทะเลตากแห้ง จ.สตูล’ ผู้สร้างสถิติใหม่ให้กับวงการเฟซบุ๊กไลฟ์สตรีมมิ่งด้วยยอดคนดูหลักหมื่น และยอดขายหลักล้านต่อการไลฟ์หนึ่งครั้ง เจ้าของวลีเด็ด ‘แม่ฉันจะต้องได้กินกุ้ง ผัวฉันจะต้องได้กินปลา’ ที่แม้ว่าเราจะไม่ได้มองหาอาหารทะเล แต่ก็อดไม่ได้ที่จะกดเข้าไปดูทุกครั้งที่บังฮะซันมาขายของ
พ่อค้าออนไลน์จากปากบาราวัย 29 ปีคนนี้ กลายเป็นผู้สร้างอาชีพให้คนกว่า 40 ชีวิตในท้องถิ่น พร้อมเป็นแหล่งรายได้ให้กับชาวประมงในหลักล้านบาทจากการไลฟ์สตรีมมิงในเฟซบุ๊กเพียงช่องทางเดียว อาจฟังดูง่ายดายแต่แท้จริงแล้วฮะซันอาหารทะเลไม่ได้มีจุดเริ่มต้นที่หอมหวานนัก เพราะการไลฟ์สตรีมมิ่งที่มีเงินเข้าถึงเจ็ดหลักในวันนี้ เริ่มต้นจากวันที่อนุรักษ์ สรรฤทัย หรือ ‘บังฮะซัน’ มีเงินทั้งเนื้อทั้งตัวเพียง 700 บาทเท่านั้น
‘บังฮะซัน’ เป็นพ่อค้าขายยามาก่อน?
ตอนเด็กๆ ที่บ้านทำประมงครับ ก่อนหน้านี้ผมทำงานเป็นชาวประมง ออกทะเล แล้วแม่ผมคิดว่าผมเป็นคนพูดเยอะมาก เลยพาผมเข้ามากรุงเทพฯ มาช่วยงานที่มูลนิธิแห่งหนึ่ง เพราะที่บ้านสมัยผมวัยรุ่นมันก็มีสิ่งมั่วสุม เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของเราด้วย แม่เป็นห่วงเลยพาเข้ากรุงเทพฯ มา ผมก็มาอยู่กับบ้านเด็กกำพร้า ช่วยดูแลเด็กกำพร้า ช่วยกิจกรรม สันทนาการ เขาเห็นว่าผมพูดเก่งเลยให้เป็นพิธีกร ซึ่งก็คือการขายยาสมุนไพรตามช่องฟรีทีวีนั่นแหละ
สิ่งที่ทำตอนนั้นคือบอกเบอร์โทรฯ แล้วก็บอกสรรพคุณยา เบาหวาน ความดัน ไขมัน เส้นเลือดอุดตัน… อะไรที่เอามาใช้ในไลฟ์ตอนนี้ก็มาจากที่นี่ อาชีพเก่า (หัวเราะ) ทำอยู่ประมาณ 2-3 ปี ระหว่างนั้นก็ได้เรียนรู้เฟซบุ๊ก ได้รู้จักการไลฟ์ขายของ ก็คิดว่า เราก็ขายได้นี่หว่าแบบนี้ เราก็กล้าพูดเหมือนกันนี่หว่า เลยลองไลฟ์แล้วก็มีญาติพี่น้องเข้ามาดู ก็คุยกับญาติพี่น้องกันไปตัวต่อตัว คนอื่นเขาก็ออกไปหมด เพราะมันไม่มีอะไรให้ดู ก็ไปเข้าใจตอนนั้นว่ามันยากมากเลยนะไลฟ์ขายของเนี่ย มันไม่เหมือนเคเบิ้ลทีวี อันนั้นเราไม่รู้ว่ามีคนดูกี่คนไง เราก็ขายอย่างเดียว แต่ในไลฟ์นี่เราเห็นคนดูเลย ถ้ามันเหลือ 2-3 คนเนี่ย ใจหายหมด
ผมลองไลฟ์ขายอยู่พักหนึ่ง ไม่ผ่าน พยายามจะหาของใน Lazada บ้าง เป็นตัวแทนจำหน่ายบ้าง อันไหนไม่ต้องสต๊อกสินค้าก็เอามาโพสต์ แต่มันขายไม่ได้ เคยขายพวกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ก็ขายไม่ได้เลย
แล้วทำอย่างไรต่อ
ขายไม่ได้ก็ไม่ขายนั่นแหละครับ ก็กลับมาบ้าน มาเห็นชาวบ้านเขาเดินขายของกัน ถามเขาว่าขายได้วันละเท่าไร เขาก็บอก 200-300 บาท ผมตามไปดูวิธีขายของเขา ปรากฏว่าคนรู้สึกไม่มั่นใจกับแม่ค้า จะสะอาดหรือเปล่า เขาไม่มี อย. ไม่ได้ขึ้นทะเบียน เป็นแม่ค้าธรรมดาๆ ไม่มีใครรับรองให้ ดูแล้วไม่น่าเชื่อถือ เราเห็นระยะห่างเยอะมาก ไม่มีจุดขายไม่มีอะไรรับรองว่ามันสะอาดไหม เขาแค่บอกว่ามีหมึกนะคะ แพ็ก 100 บาท มีปลาหวานนะคะ คนก็ปฏิเสธ
เหมือนเวลาเราไปนั่งกินข้าวที่ร้านอาหารแล้วมีคนมาขายของเราก็ไม่อยากจะซื้อ ไม่มีอารมณ์อยากจะซื้อกับพวกเขา เพราะไม่มีจุดขายเลย ผมก็เลยลองดู เปิดให้พ่อค้าแม่ค้าดูว่าออนไลน์เขาขายกระเป๋า ขายชุดชั้นใน ขายกางเกงในยังได้ แล้วของกินมันจะขายไม่ได้ได้ยังไง ตอนนั้นก็คิดว่าจะลองดู โชคดีที่สถานการณ์บังคับพอดี
ฮะซันอาหารทะเลเริ่มต้นจากเงินเพียง 700 บาท
ใช่ เรื่องของเรื่องคือคนที่บ้านเขาเห็นว่าเราทำงานอยู่กรุงเทพฯ เวลาไปเยี่ยมญาติพี่น้องก็จะต้องให้คนโน้นร้อยหนึ่ง คนนี้ร้อยหนึ่ง ไปๆ มาๆ ทั้งเนื้อทั้งตัวเหลือเงินอยู่ 700 บาท กลับกรุงเทพฯ ก็ไม่ได้ ว่าจะยืมเงินแม่กลับกรุงเทพฯ แม่ก็ไม่มีเงินอีก น้องที่รู้จักกันก็โทรมาถามว่าเอาปลาเค็มกลับกรุงเทพฯ ไหม ถุงละ 10 บาท ผมเลยโทรหาเพื่อนที่ทำงานที่กรุงเทพฯ ว่าใครเอาบ้าง ก็มีแต่คนสั่ง ไม่มีใครโอนตังค์มาหรอก ยังไม่ถือว่าขายได้นะ (หัวเราะ)
จนหลังจากนั้นมีเพื่อนผมโทรมาบอกว่า อยากได้ปลากะตัก ผมก็โทรไปหาเพื่อนอีกคนที่ทำประมง ขอซื้อปลากะตัก ด้วยเงิน 700 นี่แหละ แต่เขาไม่มีปลากะตัก เขามีหมึกกะตอยอยู่ ก็เอาหมึกกะตอยมาแทน ได้มา 3 กิโลกรัม เพราะเงินผมมีแค่นั้น แต่ทีนี้เพื่อนไม่ได้อยากได้หมึกกะตอยไง ก็เลยต้องขาย เพราะจ่ายเงินไปแล้ว ก็มาคิดว่าจะทำยังไงดีนะถึงจะขายได้ หมึกกะตอยนี่มันน่าสนใจนะ มันน่าจะขายได้ ก็เริ่มไลฟ์ ปรากฏว่าไม่มีคนซื้อ นั่นคือวันแรกเลยที่ไลฟ์ขายอาหารทะเล
ไม่มีคนซื้อเลยเหรอ!
วันแรกขายไม่ได้ ไม่มีคนซื้อเลย เราก็ต้องมาไขปัญหาอีกว่าทำไมคนไม่ซื้อ มาขายรอบสองอีกทีหนึ่ง ก็เลยคิดว่ามันต้องเล่าเรื่องราว เล่าว่าหมึกกะตอยคืออะไร ชาวประมงจับมายังไง ก็เริ่มขายได้วันนั้นนะ
หลังจากนั้นก็เริ่มหาของมาขาย เพราะหมึกกะตอยเพื่อนผมหมดแล้ว แต่อยากขาย ผมก็ไปคุยกับชาวบ้าน บางคนเขาก็บอกว่ามีแค่นี้นะ ไม่กี่กิโลกรัม บางคนมีแม่ค้าประจำที่ส่งอยู่ เราก็ไม่มีเงินสดไปซื้อ เพราะอาหารทะเลตากแห้งนี่มันกิโลกรัมละหลายร้อยบาท ผมจะไม่เอากำไรไม่กี่พันที่มีอยู่ในมือไปซื้อก่อน เพราะมันจะหายหมดเลย
ก็ใช้วิธีการไปขอเครดิตเขา เขาบอกว่ามีแม่ค้าประจำอยู่แล้ว ผมก็ไปต่อรอง บอกว่าเดี๋ยวผมขายให้ พรุ่งนี้ได้เงินเลย เพราะผมรู้ว่าแม่ค้าเจ้าประจำเนี่ยเขารับตลอดก็จริง แต่กว่าชาวประมงจะได้เงินนี่เป็นสัปดาห์เลย เขาทำแบบนี้มานานจนชาวบ้านชิน ชาวบ้านก็ลงทุนติดหนี้ไปก่อน กว่าเงินจะมาต้องรออีกสองสามสัปดาห์ เราก็วัดใจเลย บอกเลยว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ได้เงิน เสี่ยงดวงไป แต่ตอนนั้นก็ยังไม่รู้นะว่าจะขายได้หรือขายไม่ได้
แล้วทำไมกล้าการันตีว่าได้เงินพรุ่งนี้เลย
ธุรกิจมันเป็นแบบนี้นะ มีคนเคยบอกผมว่า คนนี้เคยเป็นโจรมาก่อน แล้วถือมีดเดินมาหาลูกเรา เรามีปืนอยู่ในมือ เราจะยิงไหม โจรมันอาจจะเดินผ่านไปเฉยๆ หรืออาจจะเดินมาแทงลูกเราก็ได้ เราไม่รู้ แต่เราต้องตัดสินใจไง จะยิงก็ต้องยิงเลย ไม่ยึกยัก เหมือนกันครับ จะเป็นนักธุรกิจมันต้องตัดสินใจ ผมก็ตัดสินใจเดี๋ยวนั้นเลย การันตีเลยว่าพรุ่งนี้ได้ มันมีจังหวะของมันแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น
โอ้แม่สาวน้อย… บังฮะซันไม่ใช่คนตลก
โอ้ แม่สาวน้อยนี่เริ่มจากการที่เราอยากเล่าเรื่องแบบสารคดี จำไม่ได้แล้วว่าพูดถึงเรื่องอะไรในวันนั้น แต่อยากเล่าเรื่องเหมือนสารคดี ก็เลยเลียนเสียงมา ปรากฏว่ามุกนี้ลูกค้าชอบมาก
มุกลูกคู่ที่ตะโกนรับกันก็ไม่ได้ตั้งใจให้ตลกเลย แค่พยายามจะย้ำว่าเราส่งฟรีทั่วประเทศ คือผมไม่เจตนาจะตลกนะ เราไม่ใช่ตลกมืออาชีพ ถ้าจะมาตั้งใจเล่นตลกให้คนดู มันคงไม่ค่อยตลก เราอยากย้ำว่าเราส่งฟรี ทั่วประเทศ ส่งฟรี ทั่วประเทศ เออ ปรากฏว่าลูกค้าชอบ บัง มันดี เราก็เล่นกันเลยทีนี้ จากสองสามคนก็เพิ่มมาเรื่อยๆ ลูกค้าก็เชียร์อีก ผมก็บ้ายอ ก็เล่นอีก แต่จริงๆ เราเป็นคนจริงจัง ไม่ได้อยากตลก พูดไปแล้วคนอื่นตลกเอง
จากวันนั้นถึงวันนี้ เติบโตขึ้นอย่างไรบ้าง
ตอนแรกผมทำคนเดียว ไลฟ์ขายคนเดียว หลังจากนั้นก็มีแฟนมาช่วย แล้วก็มีลูกพี่ลูกน้องผู้ชาย ที่เห็นกันบ่อยๆ ในไลฟ์นั่นแหละ หลังจากนั้นก็พาน้าๆ มาช่วยอีก จนสุดท้ายไม่ไหวแล้ว เปิดรับสมัครพนักงาน น้องๆ นักเรียนมาสมัครกันเต็ม ตอนนี้ผมเปิดเลย ใครจะมาทำงานกับผมมาเลย จ่ายเงินเป็นรายวัน ใครผ่านก็มาเป็นพนักงานประจำด้วยกัน ตอนนี้ผมมีเฉพาะพนักงานประจำก็สี่สิบคนแล้ว
ตอนนี้วันหนึ่งขายได้ ล้านสาม ล้านสี่ สองล้าน แล้วแต่ ช่วงนี้เยอะหน่อยเพราะมันเป็นฤดูกาล เดี๋ยวหมดช่วงมันแล้วก็ยอดไม่เยอะขนาดนี้หรอก จะให้มาขายได้วันละล้านทุกวันมันก็ไม่ได้ เดี๋ยวนี้ผมขายสองวันครั้ง เพราะแพ็กไม่ทัน ครั้งละประมาณ 2,000-3,000 กล่อง ก็ต้องเอาเท่าที่เราได้
ที่ชอบที่สุดคือมีน้องคนหนึ่งโทรมาขอบคุณผม เขาบอกเขาขายน้ำพริกปลาร้า ขายปลาร้า เดี๋ยวนี้ขายได้วันละ 40 กิโลกรัม เขาบอกว่าได้แรงบันดาลใจมาจากผม ผมทำให้เขาเชื่อว่าสิ่งที่เราคิดว่าเราขายไม่ได้ จริงๆ มันมีคนซื้อของเรารออยู่เพียบเลย ปลาเค็มเนี่ย ใครจะคิดว่าขายได้ คนมาหัวเราะผมเยอะแยะ ถามผมว่าโลกเรามันมาขนาดนี้เลยเหรอ ผมบอกว่าใช่ครับ มาขนาดนี้ มันไม่ได้เพิ่งมาด้วย มันมานานแล้ว ก็ขายได้วันละล้านอ่ะ มาไหมละ (หัวเราะ)
หลังจากนี้จะเดินไปทางไหนต่อ
ความยากขั้นต่อไปของเราคือ เราอยากรักษาความสดใหม่ไว้ สินค้าเราไม่ได้มีมากมาย แต่เราก็ไม่อยากบังคับให้มันมากกว่านี้ ให้มันเป็นไปตามธรรมชาติอย่างนั้นแหละ ผมได้แค่ไหนแค่นั้น จะให้มีมากกว่านี้ก็ต้องไปฝืนธรรมชาติแล้วซึ่งเราไม่เอา ลูกค้าบ่นกันใหญ่เลยว่าเอฟไปตั้งหลายรอบแล้วไม่เคยได้เลย คือผมจะบอกว่ามันมีแค่นั้นจริงๆ ครับ (หัวเราะ)
เรายังต้องเรียนรู้อีกเยอะนะ ยิ่งเวลาเขาชมว่าสุดยอดเมื่อไหร่ ยิ่งต้องระวังให้ดี ต้องระวังที่สุด เพราะยอดมันนั่นแหละอ่อนที่สุด มันหักได้เสมอ ต้องประคองตัวเอง ตอนนี้ก็มีผู้ใหญ่จากกระทรวงพาณิชย์เข้ามา เขาจะจัดการอย่างไรผมไม่รู้ แต่สิ่งที่ผมต้องทำก็คือรักษาคุณภาพสินค้า ผมไม่ใช่นักบันเทิง ไม่ใช่คนเล่นตลก ไม่ใช่จะเอาดีด้านตลกไปเรื่อยๆ แบบนั้นไม่ได้ เพราะอย่างไรผมก็ต้องทำให้สินค้าขายได้ ต้องหาของดีๆ มาขาย ต้องทำให้ขายของได้ทุกรอบ ไม่ใช่ว่าคนเข้ามาดูตลกแต่ขายของไม่ได้เลย บางคนเขามีคนรู้จักเพิ่มขึ้นแล้วก็ไปโฆษณา ไปทำอย่างอื่น แต่ผมทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะชาวบ้านมีรายได้จากเรา เราก็ต้องทำต่อ ประคองกันต่อไปแบบนี้เรื่อยๆ ก็พอใจแล้ว