โลกใบนี้ทันสมัย แสนสะดวกสบาย ใครจะรู้บ้าง…ว่ามีระเบิดเวลาซ่อนอยู่
STORY BY เชฟน่าน | 24.10.2019

2,668 VIEWS
PIN

image alternate text
image alternate text
ความสะดวกสบายอาจทำให้เราหลงลืมที่จะตั้งคำถามถึงต้นทางของอาหารว่า กว่าจะถึงปลายทางที่เราบริโภคกันจนชินชานั้นเกิดอะไรขึ้นบ้างกับโลกดวงนี้

ทราบไหมครับว่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมานี่เป็นช่วงที่โลกเราเจริญรุดหน้ามากที่สุด การเดินทางสะดวกสบาย รวดเร็ว ปลอดภัยยิ่งขึ้น การแพทย์สาธารณสุขรุดหน้า อาหารการกินมีให้เลือกบริโภคเต็มไปหมดในราคาสบายกระเป๋า ผู้คนกลายเป็นนักบริโภคนิยมเต็มตัว ทำให้อุตสาหกรรมอาหารขยายตัวรุดหน้าไปมากถึงมากที่สุด ในฐานะผู้บริโภคไม่ว่าจะเป็นการบริโภคผ่านร้านอาหาร อาหารสำเร็จรูป หรือจะเป็นผู้ซื้อวัตถุดิบต่างๆ นานามาปรุงกันเองก็ตาม เราเคยตั้งคำถามไหมครับว่า สิ่งที่เรากินเข้าไปมีที่มาอย่างไร

และนี่คือระเบิดเวลา…

อุตสาหกรรมอาหารที่รุดหน้าไปมาก ขยายตัวอย่างสุดๆ เพื่อที่จะตอบสนองความต้องการบริโภคของมนุษย์ที่เพิ่มขึ้นทุกวันๆ นั้น ไม่แต่นำพามาแค่ความสะดวกสบายในการเข้าถึงแหล่งอาหารที่ราคาถูกเท่านั้น อีกด้านที่มืดดำนั้นกำลังทำลายระบบนิเวศ สิ่งแวดล้อม สร้างมลพิษทางอากาศ มลพิษทางน้ำ ปนเปื้อนยาปฏิชีวนะ ปนเปื้อนแบคทีเรียดื้อยา และสิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อชีวิตมนุษย์โดยตรง หรือจะให้ถูกต้อง…ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในโลกใบนี้

ผมมีโอกาสได้ดูหนังสารคดีที่ชื่อ “EATING ANIMAL” ที่ทาง Greenpeace ได้นำมาฉาย หนังเรื่องนี้ใช้เวลาถ่ายทำนานหลายปี สะท้อนระบบอุตสาหกรรมปศุสัตว์ที่ใหญ่โตและอันตรายของประเทศสหรัฐอเมริกาให้ดูอย่างน่าตกใจ และถ้าเพื่อนๆ คิดว่ามันไกลตัว ต้องคิดใหม่แล้วนะครับ ความจริงก็คืออุตสาหกรรมปศุสัตว์บ้านเราหรือประเทศอื่นๆ ก็ไม่ได้แตกต่างกัน

ระบบอุตสาหกรรมปศุสัตว์คือระบบที่ควบคุมโดยนายทุนหรือบริษัทขนาดใหญ่ สร้างเครือข่ายกับเกษตกรโดยใช้ข้อตกลงพันธะสัญญา นั่นก็คือต้องสร้างโรงเรือนสำหรับเลี้ยงสัตว์ในระบบปิด รับตัวอ่อนหรือลูกสัตว์จากทางบริษัท รับอาหารสำเร็จรูปจากทางบริษัท รับยาปฏิชีวนะจากทางบริษัท โดยบริษัทจะรับซื้อสัตว์ที่เลี้ยงทั้งหมดเมื่อถึงเกณฑ์น้ำหนักที่บริษัทกำหนด

เอ…แล้วสิ่งเหล่านี้ดูไม่ดีอย่างไร

แรงจูงใจของการเลี้ยงสัตว์ในระบบปิดคือสร้างกำไรให้ได้มากที่สุด ฉะนั้นคุณต้องเลี้ยงสัตว์อย่างหนาแน่นที่สุด เพื่อให้ใด้ผลผลิตมากที่สุด อัดอาหารเม็ดให้กับสัตว์ของคุณตลอดเวลาเพื่อขุนให้ได้น้ำหนักที่ต้องการเร็วที่สุด ถ้าทุกคนนึกภาพตามก็เหมือนการเลี้ยงสัตว์อย่างแน่นเอี้ยด ให้กินๆ นอนๆ ให้อ้วนเร็วๆ ถ้าเป็นคนถูกเลี้ยงแบบนี้จะเกิดอะไรขึ้นล่ะครับ ก็ป่วยสิครับ ป่วยแล้วต้องทำอย่างไรก็ต้องอัดยาปฏิชีวนะ

หมายความว่าเรากำลังกินสัตว์ที่ป่วยอยู่ใช่หรือไม่…

ผมเคยไปฟาร์มไก่ออร์แกนิกชื่อแทนคุณครั้งหนึ่ง พี่ อำนาจ เรียนสร้อย เจ้าของฟาร์มพาผมเดินดูการเลี้ยงไก่แบบโบราณที่ปู่ย่าตายายของเราเคยเลี้ยงกันมาก็คือการเลี้ยงแบบปล่อยอิสระ มีโรงเรือนให้อยู่แบบสบายๆ ไม่หนาแน่น สะอาดสะอ้าน ไก่เดินหากินตามธรรมชาติ ได้ออกกำลังกาย ได้อยู่ผสมร่วมกันกับสัตว์อื่นๆ ในฟาร์ม หรือเรียกตามภาษาวิชาการว่า มีความหลากหลายทางชีวภาพ

สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดอะไรขึ้น สภาพการเลี้ยงแบบนี้สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับไก่ของพี่อำนาจ เติบโตตามธรรมชาติ การมีความหลากหลายทางชีวภาพ สร้างภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติให้กับมัน ใช่ว่าจะไม่มีไก่ป่วยเลย แต่พี่อำนาจเล่าว่า ธรรมชาติมีระบบคัดสรรของเขาเอง ไก่ที่อ่อนแอไม่สมบูรณ์ก็จะมีชีวิตไม่ยาวและตายไปในที่สุด ฉะนั้นยาปฏิชีวนะจึงไม่ใช่ทางออกของเกษตกรกลุ่มนี้ สำหรับผมเองในฐานะคนทำอาหาร วัตถุดิบที่อร่อยเกิดจากสัตว์ที่สุขภาพดีและแข็งแรงเป็นที่ตั้งก่อน ไม่ใช่เกิดจากสัตว์ที่ป่วย อ้วน สภาพร่อแร่ (ชวนไปดูคลิปรายการสุดยอดวัตถุดิบ ตอนสุดยอดไก่อินทรีย์นะครับ เป็นอีกหนึ่งตอนที่ผมชอบมาก)

ถ้าใครเคยเห็นภาพการเลี้ยงสัตว์ในโรงเรือนขนาดใหญ่ที่เลี้ยงกันอย่างหนาแน่น ผมกล้าท้าเลยว่า 100 คนที่ดู จะกลายเป็นมังสวิรัติมากกว่า 50 คน สัตว์ที่ถูกเลี้ยงในสภาพแออัด ไม่ต้องพูดถึงคุณภาพชีวิต เรียกว่าสภาพอนาถสุดๆ เป็นแผล คอพับ ขาหัก เดินไม่ได้ ไอ้ตัวที่รอดผมว่าสภาพก็ไม่ได้ดีเด่ไปกว่ากันนัก แล้วคุณทราบหรือไม่ว่า กว่า 98% ของเนื้อสัตว์ที่วางขายในตลาดมาจากอุตสาหกรรมปศุสัตว์ขนาดใหญ่ทั้งนั้น!

เลี้ยงสัตว์ในโรงเรือนปิดกว่าหมื่นกว่าแสนตัว หรือในสหรัฐอเมริกาอาจมีถึงเป็นล้านตัวคุณคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แน่นอนสิครับว่าต้องมีอุจจาระ ปัสสาวะ มีของเสียสารพัดที่จะออกมาจากสัตว์เหล่านั้น ของเสียมากขนาดนั้นจะกำจัดอย่างไรถ้าไม่ปนเปื้อนไปกับแหล่งน้ำ ดูดซึมไปกับพืชพันธุ์ธัญญาหาร นอกจากนั้นยังมีโรค มีซากของสัตว์ที่ไปไม่รอด มียาปฏิชีวนะต่างๆ ที่จะปนเปื้อน

ถามว่าแล้วรัฐบาลล่ะไม่รู้เรื่องเหล่านี้เสียเลยหรือ ในประเทศสหรัฐอเมริกา นายทุนจากอุตสาหกรรมปศุสัตว์ขนาดใหญ่เป็นผู้ให้การสนับสนุนพรรคต่างๆ ไม่ว่าพรรคไหนจะขึ้นมาบริหารประเทศก็ยังไม่เคยเลยที่องค์กรอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ FDA จะออกมาทำอะไรกับข้อมูลเหล่านี้ แล้วเราในฐานะผู้บริโภคจะหวังอะไรกับประเทศไทยได้หรือไม่

…ผมว่าไม่ และคิดว่าปัญหาเหล่านี้จะสะสม หมักหมม รอเวลาที่ระเบิดจากโรคระบาดใหม่จะปะทุขึ้น ระเบิดลูกนี้จะรุนแรง จะไม่มียาปฏิชีวนะใดๆ รักษาได้ และที่น่าเสียใจ มันจะเกิดจากพฤติกรรมการกินอย่างบ้าคลั่งของมนุษย์เรานี่เอง

วงจรเหล่านี้ไม่ใช่ว่าพวกเราในฐานะผู้บริโภคไม่เคยรู้จักเอาซะเลย เพียงแต่เราจะเลือกเอาแต่ความสะดวกสบาย การเข้าถึงอาหารที่ราคาถูกเท่านั้นหรือ ยังมีสัตว์ในอุตสากรรมปศุสัตว์อีกนับล้านๆ ตัวกำลังถูกทรมาน มีเกษตกรรายย่อยที่กำลังพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะผลิตอาหารที่ดี คุณภาพชีวิตของสิ่งมีชีวิตที่เลี้ยงดี ปลอดภัยต่อตัวเองในฐานะเกษตกร ปลอดภัยต่อผู้บริโภค และปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม เราควรจะทำอย่างไรกันดี

โลกจะพังมันจะพังเพราะมือของเราทุกคน ไม่ได้พังจากใครหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่ถ้ามันจะฟื้นก็ต้องฟื้นจากสองมือของเราทุกคนเช่นกัน กินผักให้มากขึ้น กินเนื้อสัตว์ให้น้อยลง อุดหนุนผู้ผลิตที่รับผิดชอบ คำนึงถึงความปลอดภัยทั้งต่อคนและสัตว์ คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม … ถ้าไม่เริ่มวันนี้แล้วจะไปเริ่มวันไหน

RECOMMENDED ARTICLES
RECOMMENDED VIDEOS