เดือนตุลาคมนี้ขอเชิญชวนทุกคนไปซ่าซ่าซ่าในแบบฉบับส้มซ่า โดยเราจะนำเอาส้มซ่าที่ใครๆ คิดว่าทำได้แต่เมนูของคาวมาจับแปลงรูปเปลี่ยนโฉมเสียใหม่ให้โกอินเตอร์กับเมนูขนมหวานฝรั่งกันเสียบ้าง แต่ก่อนจะเฉลยว่าเป็นเมนูอะไรเรามาทำความรู้จักกับเจ้าส้มซ่าที่หน้าตาคล้ายมะกรูตเนื้อและรสชาติคล้ายส้มโอกันก่อน
ส้มซ่าเป็นพืชสมุนไพรโบราณที่หาค่อนข้างยากในปัจจุบันและราคาก็สูงพอสมควร เรามักคุ้นเคยกับส้มซ่าในรูปแบบของการนำเอาเปลือกมาซอยเป็นเส้นเล็กๆ ไว้โรยบนหน้าของเมนูโบราณชาววังอย่างหมี่กรอบหรือเมนูโบราณอย่างส้มฉุนก็รู้กันดีว่าตัวน้ำเชื่อมที่ไว้ใช้ลอยแก้วผลไม้นั้นทำมาจากส้มซ่าและต้องมีผิวส้มซ่าลอยหน้าด้วยทุกครั้ง
สมัยก่อนนั้นดูเหมือนเจ้าส้มซ่ามักจะแฝงตัวอยู่ในเมนูอาหารไทยหลากหลายเมนู แต่ในสมัยนี้เราหาส้มซ่าได้น้อยลงอาจด้วยความที่ไม่ค่อยมีคนนิยมปลูกกันมากเหมือนเช่นสมัยก่อน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีสวนส้มซ่าเอาเสียเลย ผู้เขียนเคยอ่านเจอในบทความหนึ่งว่าในจังหวัดนนทบุรีมีสวนส้มซ่าแฝงตัวอยู่ซึ่งต้องบอกก่อนเลยว่าส้มซ่านั้นอยู่ในวงศ์เดียวกันกับมะกรูดและมะนาว แต่จะมีความหอมมากกว่า เรียกได้ว่าหอมมาแต่ไกลและที่สำคัญปลูกง่ายกว่ามะกรูดและมะนาวหลายเท่า อย่างที่บอกไปข้างต้นว่ารสชาติเหมือนส้มโอคือรสหวานอมเปรี้ยว เมื่อนำไปทำเมนูอะไรก็อร่อยมีเอกลักษณ์
วันนี้เราจะแปลงโฉมส้มซ่าให้ดูน่ากินและอินเตอร์มากยิ่งขึ้นโดยนำมาทำเป็นขนมหวานสไตล์ฝรั่งอย่างมูสส้มซ่านำเอาผลมาขูดเอาแต่เปลือกเก็บไว้ ใส่ในเนื้อมูสคั้นเอาแต่น้ำโดยกรองเม็ดออกและผลบางส่วนจะเอาแต่เนื้อมาเก็บไว้เชื่อมในน้ำเชื่อม เพื่อใส่ลงในเนื้อมูสเช่นกัน เนื้อสัมผัสที่ได้จากตัวมูสนั้นจะมีความนุ่มละมุนลิ้น รสชาติจะออกเปรี้ยวๆ หวานๆ เล็กน้อย หอมกลิ่นผิวส้มซ่าที่ใส่ลงไปในเนื้อมูสและได้รู้สึกถึงเนื้อของส้มซ่าประปรายในเนื้อมูสด้วยเช่นกัน
ความพิเศษของมูสส้มซ่าอยู่ที่ฐานด้านล่างที่เป็นเนื้อเค้กเคลือบด้านข้างด้วยช็อกโกแลต โรยทับด้วยอัลมอนด์สับหยาบ พอเนื้อมูสเซตตัวก็ราดด้วยเกลซส้มซ่าให้เคลือบผิวด้านนอกของมูสก่อนนำไปประกอบร่างกายเป็นมูสส้มซ่าแสนอร่อย