“ท้องฟ้าสีสวยไร้เมฆ น้ำทะเลสีฟ้าชัดเจน หนุ่มสาวญี่ปุ่นผิวสีแทนในเสื้อผ้าสีฉูดฉาด และความไร้ระเบียบอันมีเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้โอกินาวาไม่เหมือนญี่ปุ่นสุดเนี้ยบ”
ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ฉันไม่ได้เห็นสักอย่าง… อ่ะ ยกเว้นแต่ “น้ำทะเลสีฟ้าชัดเจน” ก็ได้
เมื่อมาเยือนโอกินาวาในฤดู spring ซึ่งมีความแปรผันของอากาศค่อนข้างสูง ท้องฟ้าโอกินาวาต้อนรับเราด้วยเมฆสีเทาหนาทึบและเม็ดฝนโปรยปราย และบรรยากาศที่นี่… เอ๊ะ เหมือนไต้หวันชอบกล กล่าวคือเป็นประเทศจีนที่เป็นระเบียบ และสะอาด… เอาน่า อย่างน้อยก็สะอาด
สิ่งแรกที่เราทำคือมุ่งไปเช่ารถ เพื่อขับออกนอกเมืองไปยังที่พัก ณ เมือง Onna ซึ่งอยู่ตรงกลางของเกาะ โดยที่สนามบินอยู่ตอนใต้ของเกาะ เพื่อที่วันรุ่งขึ้นเราจะเดินทางไปยัง Okinawa Churaumi Aquarium ทางตอนเหนือของเกาะ อันเป็นหนึ่งในอะควาเรียมที่ใหญ่ที่สุดในโลก!
ในเมื่อท้องฟ้าสีเทา ฝนพรำ และอากาศค่อนข้างเย็น หนุ่มสาวผิวสีแทนไม่มีโผล่มาให้เห็น มีแค่รถของเราที่แล่นผ่านวิวบ้านเมือง แต่เราจะปล่อยให้ทริปนี้กร่อยไม่ได้ และของกินอร่อยเท่านั้นที่จะช่วยเยียวยาทุกสิ่ง เหล่าสมาชิกในรถจึงตั้งหน้าตั้งตาจิ้มมือถือเสิร์ชหาร้านอร่อยตามเส้นทางที่จะขับรถผ่าน และร้านที่ต้องตาต้องใจทุกคนคือ Ploughman’s Lunch Bakery ซึ่งมีขนมปังและกาแฟขายในยาม 9 โมงเช้าแบบนี้
เมื่อมาถึงที่ Ploughman’s Lunch Bakery บรรยากาศร้านน่ารักมาก ดูอบอุ่นมีความโฮมมี่ เนื้อขนมปังมีความนุ่มเหนียว เคี้ยวหนุบหนับ ชุ่มชื้น ถือว่าเป็นขนมปังที่ดีมีคุณภาพเลยทีเดียว แถมมีหลากรสชาติเฉพาะของที่ร้าน ซึ่งถือเป็นข้อเด่นทำให้พวกเราตื่นเต้นและสนุกเป็นพิเศษ เลยสั่งมาลองชิมกันเพียบ ได้แก่
Canberry with Chocolate รสนี้กินง่าย น่าจะถูกใจทุกเพศทุกวัย รสเปรี้ยวของแคนเบอร์รีตัดกันได้ดีกับรสของช็อกโกแลตขาว ดีงาม
Orange Chocolate รสนี้เบสิก เป็นที่รู้กันว่าส้มเข้ากันได้ดีกับช็อกโกแลตอยู่แล้ว ความพิเศษคือไส้เยอะมาก มีส้มมาเป็นชิ้นๆ มีเปลือกหอมๆ ผสมมาด้วย
Blue Cheese Honey ในฐานะที่เป็นแฟนบลูชีส เห็นรสนี้แล้วรีบสั่งทันที พอลองกินแล้วก็ไม่ผิดหวัง บลูชีสเยอะสะใจ เห็นเป็นสีเขียวๆ ปื๊ดๆ เลย แถมกลิ่นน้ำผึ้งก็ชัด จะจดจำขนมปังรสนี้ไม่มีวันลืม
Sea Lettuce ซึ่งคือสาหร่ายทะเลนั่นแหละ กลิ่นและรสของสาหร่ายชัดเจนมาก สาหร่ายแทรกอยู่ทุกอณูของขนมปัง ฉันชอบตัวนี้เป็นพิเศษ รู้สึกเป็นความอร่อยแบบผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ริมทะเล กำลังละเลียดรสชาติอุมามิ อ้า~ สุขุม นุ่มลึก… ว่าไปนั่น!
วิวมุมสูงจาก Katsuren Heritage SiteCaption
หลังจากเสพขนมปังอย่างดื่มด่ำแล้ว ห่าฝนก็เทลงมา ฝนตกหนักเหมือนฤดูฝนบ้านเราเลย พวกเราพากันวิ่งตัวเปียกปอนขึ้นรถ และมุ่งหน้าสู่ที่พักต่อ ระหว่างทางแวะเที่ยว Katsuren Heritage Site ตามระเบียบ ที่นี่เป็นปราสาทเก่าที่เหลือแต่ซากแล้ว สิ่งที่ดึงดูดที่สุดคือการได้เห็นวิวโอกินาวาจากมุมสูง แต่ในวันที่ฟ้าเทา อากาศเต็มไปด้วยหมอก (ที่ไม่ใช่ PM2.5) อะไรๆ ก็เลยไม่ค่อยน่าอภิรมย์เท่าไร เราแวะกันแป๊บๆ แบบชะโงกทัวร์ แล้วก็ตัดสินใจไปต่อ… ไปต่อยังร้านโซบะที่ขอบอกว่าถ้าใครมาชะโงก Katsuren ตามระเบียบเหมือนพวกเรา ก็ขอให้ห้ามพลาดร้านนี้!
ร้าน Maruyasu ได้คะแนนถึง 3.46 ดาว โหวตโดยคนญี่ปุ่นกันเอง เป็นร้านโซบะเล็กๆ หน้าตาบ้านๆ ทางร้านแตกตื่นเล็กน้อยที่เห็นแก๊งนักท่องเที่ยวเอะอะมะเทิ่งอย่างพวกเราเข้าไป แต่ก็ต้อนรับด้วยรอยยิ้ม และมอบเมนูที่แม้จะมีแต่ภาษาญี่ปุ่น แต่มีรูปให้เราจิ้ม หน้าตาโซบะมีความเรียบง่าย ฉันสั่งโซบะท็อปปิ้งด้วยขาหมู เป็นที่นิยมในหมู่สาวๆ เพราะขาหมูเต็มไปด้วยคอลลาเจน ส่วนเมนูอื่นๆ ก็มีทั้งท็อปปิ้งด้วยหมูสามชั้นตุ๋น, กระดูกหมูตุ๋น หรือ มีเต้าหู้สีขาวนิ่มๆ อ่อนๆ มาด้วย
ทันทีที่คีบเส้นโซบะขึ้นมา เอ๊ะ มันเป็นสีขาว ไม่ได้เป็นสีออกน้ำตาลซึ่งทำจาก buckwheat แบบที่เคยกินที่ฝั่งเกาะหลักของญี่ปุ่น… ใช่แล้วโซบะของโอกินาวาเป็นโซบะแบบเฉพาะ ถือเป็นอีกเมนูที่ต้องลอง ไม่เช่นนั้นจะถือว่าคุณมาไม่ถึงโอกินาวา และเมื่อซู๊ดเส้นเข้าปาก โอโห มันเหนียวนุ่ม ไม่แห้งสาก บางคนที่ไม่ชอบโซบะฝั่งเกาะหลัก เพราะรู้สึกสากคอ โอกินาวาโซบะถือเป็นตัวเลือกของคุณ น้ำซุปมีกลิ่นหมูชัดเจนทว่าไม่เหม็นคาว เนื้อหมูดีทุกจาน ขาหมูคอลลาเจนเต็มพิกัด กินกับเส้นโซบะเข้ากันดีจริง หมูสามชั้นรสออกหวานตัดกับรสเค็มของน้ำซุป ส่วนกระดูกหมูส่วนที่เป็นกระดูกอ่อนก็ดีงามมาก กระดูกอ่อนแทบจะละลายเป็นเนื้อเดียวกับหมูเลย เหล่าสมาชิกจบมื้อนี้ไปอย่างฟิน แล้วพากันสรุปว่าแม้อากาศไม่เป็นใจ แต่ถ้าอาหารอร่อยก็โอเคนะ
แต่แล้วมื้อเย็นก็ทำเราผิดหวัง เราเลือกร้านอิซากายะ หวังอยากกินเหล้าและอาหารทะเล เพราะมาเกาะโอกินาวาทั้งทีก็ต้องกินปลาสิ มันคงจะสดและดีงามมากๆ แต่รู้หรือไม่ ปลาโอกินาวาไม่อร่อยค่ะ! เพราะมีกระแสน้ำอุ่นรายรอบเกาะ ทำให้ปลาไม่มัน และสู้ปลาจากญี่ปุ่นฝั่งเกาะหลักไม่ได้ สิ่งที่ควรต้องกินที่นี่คือหมูต่างหาก! คนโอกินาว่าบอกว่าเขากินหมูได้ทุกส่วนยกเว้นเสียงร้องของมัน โดยเฉพาะหมูดำเป็นที่นิยมกันมากๆ และเป็นที่น่าสังเกตว่ามีร้านยากินิคุ ปิ้งๆ ย่างๆ เยอะมาก ฉันได้ลองไปหนึ่งร้าน เนื้อวัวดีงามตามมาตรฐาน แต่ไม่ถึงกับว้าวนัก แต่เนื้อหมูดีเกินคาด ชุ่มฉ่ำ ไม่สากลิ้นเลย น่าเสียดายที่ไม่ลองชาบูหมูสักมื้อ พวกเราได้พยายามจองแล้ว แต่มันเต็มค่ะ!
อีกสิ่งที่ควรลองคือโอนิกิริแบบฉบับโอกินาวา ต่างจากโอนิกิริปกติที่มักเป็นไส้แบบญี่ปุ่น traditional ไม่ว่าจะเป็น บ๊วย ไข่กุ้ง แซลมอน ฯลฯ แต่แบบของโอกินาวาเป็นไส้แฮมอัดกระป๋อง (หรือที่เราเรียกติดปากว่า SPAM) และไข่ อันได้รับอิทธิพลมาจากอเมริกา เพราะโอกินาวาเป็นที่ตั้งของฐานทัพทหารสหรัฐอเมริกามาตั้งแต่ช่วงสงครามโลก มีวันหนึ่งพวกเราขับผ่านบริเวณฐานทัพที่เมือง Kaneda ซึ่งกินอาณาเขตกว้างใหญ่มากๆ เห็นได้เลยว่าบรรยากาศร้านรวงแถวนั้นอย่างกับย่าน Highway นอกเมืองสักแห่งในอเมริกา ว่าแล้วชาวคณะก็เปิด Tinder และเจอหนุ่มทหารหน้าตาดีเพียบเลยค่ะ!
กลับมาที่โอนิกิริสแปมและไข่ (ออกทะเลไปไกลเชียว) หากินได้ตามร้านสะดวกซื้อทั้ง Family Mart และ Lawson ซึ่งจากที่ลองมาแล้วหลายครั้ง ส่วนตัวฉันชอบของ Lawson มากกว่า ไส้สแปมเค็มและเข้มข้นมากกว่า
แต่! โอนิกิริตามร้านสะดวกซื้อรึจะสู้ร้าน Pork Tamago Onigiri ซึ่งเอาโอนิกิริไส้สแปมและไข่มาทำให้ร่วมสมัยมากขึ้น มีให้เลือกหลายอย่าง ทั้งแบบออริจินัล และแบบเพิ่มใส้ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปลาทอด กุ้งทอด ผักดอง อันที่ฉันและชาวคณะขอแนะนำเป็นพิเศษ คือไส้เต้าหู้ทอดซึ่งมีซอสมิโสะทามาด้วย อร่อยมาก เต้าหู้ทอดมาอย่างพอดี มิโสะช่วยตัดเลี่ยน และให้กลิ่นอายญี่ปุ่นขึ้นมาทันที ความพิเศษที่มีมากกว่าร้านสะดวกซื้อคือวัตถุดิบสดใหม่ ข้าวเป็นเมล็ดเรียงสวยงาม ไม่ใช่ข้าวเย็นอัดเป็นก้อน และของที่เพิ่งทอดขึ้นมาร้อนๆ ย่อมดีกว่าเสมอ ร้านนี้มีหลายสาขา สาขาที่เราแวะไปคือตรงตลาด Sun Rise Market ที่เมือง Naha อันเป็นที่ซึ่งนักท่องเที่ยวทุกคนต้องไปเยือนเพื่อซื้อของฝาก ดังนั้นขอให้ไปลองกินโอนิกิริที่ร้านนี้ด้วยนะ
เอาละ แล้วก็มาถึงจุดหมายหลักของทริปนี้ คือ Okinawa Churaumi Aquarium ระหว่างเดินทางเราแวะ Cape Manzamo อันมีแง่งผาที่เหมือนรูปงวงช้าง
พวกเราถ่ายรูปชะโงกทัวร์อยู่ไม่นาน ก็ขับรถต่อถึงอะควาเรียม โดยส่วนตัวฉันเป็นคนชอบอะควาเรียมมาก สามารถใช้เวลาได้นานๆ ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ และค่อนข้างคาดหวังกับที่นี่มาก… แล้วเมื่อคาดหวังก็ต้องผิดหวัง ไอ้คำว่า One of the Biggest มันหมายถึงพื้นที่อาณาเขตนี่หว่า มีสวนหย่อมและบริเวณมากมาย ณ ที่นี่ ไม่ใช่จำนวนปลาและความใหญ่ของแทงค์ ถ้าใครคาดหวังความอลังการแบบฉัน ขอแนะนำให้ไปดูอควาเรียมที่โอซาก้าดีกว่า… เอาล่ะ กลับมาที่โอกินาวา เราไปพบพระเอกของที่นี่เป็นฉลามวาฬสองตัวที่ว่ายวนเวียนให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูป และมีตารางเวลาโชว์ให้อาหารพวกมันด้วย ฉันยืนดูฉลามวาฬแล้วก็นึกสงสารพวกมันขึ้นมา นี่ต้องว่ายวนเป็นวงกลมเล็กๆ ไปมาไปทั้งชีวิตเหรอเนี่ย จากนั้นจึงเดินต่อไปดูตู้ฉลามไซส์เล็ก มีปลาตายตัวหนึ่งถูกฉมวกจิ้มลงมาที่ผิวน้ำ ปลาตัวนั้นถูกเชิดให้เหมือนมันว่ายน้ำได้ เพื่อกระตุ้นให้ฉลามตระครุบเหยื่อ (แน่นอนว่าเป็นการโชว์ให้นักท่องเที่ยวดู) แต่พี่ฉลามของเราเมินว่ะค่ะ หน้ามันเหม็นเบื่อและไม่สนใจกลิ่นคาวเลือดเอาซะเลย อืมมม
แต่ถ่ายรูปมาสวยอยู่ค่ะ ขออวดละกันนะ
ดูปลาในตู้ไปแล้ว ก็อยากจะไปดูปลาในทะเลจริงๆ บ้าง และน้ำทะเลสีฟ้าของโอกินาวาก็ยั่วยวนเราเป็นพิเศษ แต่พอเห็นลมและเมฆสีเทาก็ยังสงสัยอยู่ว่าเราจะออกไป snorkeling ได้จริงไหม แต่ในเมื่อทางทัวร์บอกว่าไปได้ เราก็ลุยค่ะ เราไปถึงท่าเรือ เปลี่ยนชุด Wetsuit ใส่ตีนกบ แล้วก็นั่งเรือออกไป Blue Cave เรื่องเซอร์ไพรส์ที่ไม่เคยรู้มาก่อนคือ Wetsuit ทำให้ตัวลอยน้ำได้ โดยไม่ต้องใส่ชูชีพ พอกันทีกับการก้มดูปลาแล้วชูชีพรั้งคอ
ชาวคณะเราและชาวคณะอื่นๆ ที่นั่งเรือมาด้วยกันกระโดดลงน้ำ ตู้มมมม! น้ำเย็นนนนนค่ะ แต่ไหวอยู่ ปลาเล็กปลาน้อยสีสวยที่ใต้น้ำดึงความสนใจไปจากอาการหนาวสั่น เราว่ายกันไปถึงถ้ำหนึ่ง ซึ่งขาเข้าไปฉันแอบงงมากว่าให้มาดูอะไรที่นี่นะ มันมืดไปหมด ทำให้มองไม่ค่อยเห็นปลา เมื่อไปสุดทางของถ้ำ คุณไกด์ชาวฮังกาเรียนจึงบอกเราว่าให้มองออกไปที่ปากถ้ำ แล้วคุณจะรู้ว่าทำไมที่นี่ถึงเรียกว่า Blue Cave แสงแดดและน้ำทะเลทำมุมหักเหกันอะไรยังไงไม่รู้ แต่ทั่วทั้งถ้ำเมื่อมองจากใต้น้ำเป็นสีฟ้าไปหมดเลย น่าประทับใจทีเดียว
แม้หลายๆอย่างในโอกินาวาจะไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง แต่โชคดีมากที่เราเสิร์ชไปเจอเทศกาลดอกไม้ไฟ ซึ่งเป็นเทศกาลประจำปีของโอกินาวา พวกเรารีบขับรถบุกลุยไปยัง Ginowan Tropical beach รถอย่างติด! และที่จอดต้องมี Reserved Ticket เท่านั้น เราจึงปล่อยเพื่อนสองคนลงไปซื้อตั๋วก่อน แล้วขับรถวนรอไปเรื่อยๆ จนได้รับสัญญาณว่าซื้อตั๋วได้แล้ว จึงหาที่จอดรถและเดินเท้าไปสมทบ
ตั๋วราคาที่นั่งละ 6,000 เยน เป็นตั๋วแบบระบุเลขที่นั่ง บริเวณนั้นวิวดีใช้ได้ น่าจะเห็นพลุชัดเจน และบรรยากาศในงานชวนให้คึกคักเป็นอย่างยิ่ง มีโซนที่เป็นซุ้มร้านอาหารเรียงราย คนต่อคิวเพียบ แล้วเราก็ไปต่อกับเขาด้วย แต่ไม่อร่อยเท่าไร บรรยากาศอร่อยกว่า และเมื่อฟ้ามืดโชว์ก็เริ่มต้นขึ้น พลุงดงามตระการตา มีจังหวะสอดประสานไปกับเสียงดนตรี รู้สึกชื่นชมคนออกแบบสิ่งนี้ มีบางพลุที่มีดีเทลพิเศษล้ำ แตกตัวแล้วแตกตัวอีก การแสดงโชว์ไล่ความพีคและความอลังการขึ้นเรื่อยๆ และจบลงอย่างฟินาเล่ ถือเป็นโชว์ที่ชาวคณะเอ็นจอยเป็นอย่างมาก และ level up ให้โอกินาวากลายเป็นทริปที่เราจะไม่ลืม
สรุปความโอกินาวา (อันเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน)
– ไปเที่ยวช่วงหน้าร้อนเถอะ อย่าหลงมาช่วง spring อย่างพวกเราเลย แม้อากาศจะร้อนมาก แต่ฟ้าใส ถ่ายรูปสวยแน่ๆ
– ปลาไม่อร่อยอย่าคาดหวัง
– หมูอร่อย กินหมูเข้าไป
– โซบะดี มีมาตรฐานอร่อยเกือบทุกร้าน แต่กินมากๆ ก็เบื่อนะ
– มะระผัดไข่ อร่อย ควรลอง
– อย่าแค่ sightseeing ลองหากิจกรรมอื่นที่ action หน่อย เช่นไป Snorkeling แบบเรา ลองเสิร์ช Experience ได้ใน AirBnb มีกิจกรรมเชิงวัฒนธรรมมากมาย และมีสอนทำอาหารด้วยนะ
– ถ้าเจอเทศกาลดอกไม้ไฟ ห้ามพลาดเด็ดขาด!