“ผมเคยลองดื่มค็อกเทลมากมาย แต่ไม่บ่อยที่จะมีโอกาสได้ดื่มค็อกเทลที่มีรสเผ็ดร้อน ทุกครั้งที่ดื่มมันเหมือนได้เปิดโลกใหม่อยู่เสมอ ในขณะดื่มกลิ่นหอมของผลไม้และกลิ่นของพริกที่เป็นเอกลักษณ์ผสมผสานกันอย่างลงตัว แต่ไม่นานหลังจากนั้น กลับกลายเป็นความมหัศจรรย์ ความร้อนที่ค่อยๆ ไหลลงคอมันช่างร้อนรุ่ม…อบอุ่น” – ผู้เขียน
ดื่มไปเรื่อยๆ ความเผ็ดก็ทำให้เผลอทำตัวเซ็กซี่ ยกมือมาพัด…ซี้ดซ้าดบ้าง(พัดช้าๆ ให้พอสวยด้วยล่ะ) อาจเพราะฤทธิ์เผ็ดของพริก ถือว่าเป็นผลพลอยได้ในการเพิ่มเสน่ห์ ยั่วยวน
แล้วคุณกล้าลองค็อกเทลรสเผ็ดไหม? เคยลองดื่มเครื่องดื่มมี่มีวัตถุดิบหรือเครื่องปรุงรสเผ็ดบ้างหรือเปล่า?
ด้วยประสบการณ์ของผมในการไปนั่งดื่มตามร้าน เท่าที่ได้สังเกตมีน้อยครั้งมากที่จะเห็นคนสั่งค็อกเทลที่ใส่พริก วาซาบิ หรือเหล่าวัตถุดิบรสเผ็ด สุดท้ายแล้วผู้คนส่วนใหญ่มักเลือกอะไรที่ง่ายและจบด้วยน้ำผสมไม้ผสมเหล้าทั่วไปที่จะแสนธรรมดา ไม่แปลกใจครับ อาจเพราะรับรู้ได้ถึงความไม่เข้ากัน เฉพาะเพียงตัวเหล้าเพียวๆ ก็ร้อนจนทนไม่ไหวเสีย หากให้ดื่มเหล้ากับพริกที่เผ็ด มันคงเป็นเรื่องยากที่จะกลืนกระเดือกให้ลงคอ…
“เผ็ดที่ทำให้รู้สึกเผ็ดร้อนจนทนไม่ไหว มันไม่มีมิติ”
เรื่องแบบนี้ตัวผมเข้าใจดีเลยละ อันที่จริงรสเผ็ดในค็อกเทลไม่ได้เผ็ดร้อนทุรนทุรายดื่มไม่ได้ที่เหมือนกำลังกินอาหารรสเผ็ดอย่างยำหรือส้มตำ แต่สิ่งที่ได้จากค็อกเทลผสมรสเผ็ดคือมีมิติความล้ำลึกที่มากกว่าเดิม แต่ก็ควรใส่ในปริมาณที่เหมาะสมและพอดี หากมาเกินคงทนดื่มต่อไม่ได้ อธิบายให้เห็นภาพคงคล้ายกับคอร์ดของดนตรีที่มีการรวมตัวโน้ตหลายๆ ตัว เมื่อฟังออกมาแล้วรู้สึกไพเราะลื่นหู หากตัวโน้ตผสมปนเปจากลื่นหูก็จะกลายเป็นบาดหูทันที
แต่ใช่ว่า ‘รสเผ็ด’ ในค็อกเทลจำเป็นต้องเป็นพริกอย่างเดียว เราสามารถเลือกใช้วัตถุดิบที่มีฤทธิ์ออกร้อน อาทิเช่น ขิง วาซาบิ ฮ็อตเรนดิช ซอสพริก น้ำจิ้ม หรือพริกไทย แต่สิ่งสำคัญคือรสชาติต้องเข้ากันและไม่กลบจุดเด่นของกันและกัน
แล้วรู้ได้ไงว่าควรใส่ลงไปเท่าไหร่? ผมว่าอัตราส่วนความเผ็ด มันขึ้นอยู่กับความต้องการของคุณด้วยว่าอยากให้ค็อกเทลของคุณออกมาในรูปแบบไหน อยากให้ออกมาสนุกมีความท้าทายก็ใส่ให้มากหน่อยอยากให้ความลึกล้ำของรสชาติก็ใส่เพียงให้พอได้กลิ่นก็เพียงพอแล้ว
ส่วนเหล้าเราสามารถเลือกใช้ตั้งแต่ วอดก้า จิน ตากีล่า รัม เบียร์ วิสกี้ บรั่นดี ลิเคียว (ก็ถือได้ว่าเกือบทุกชนิด) ไม่ได้มีข้อหวงหรือข้อห้ามอะไร รังสรรค์ได้ตามต้องการเลย บางคนอาจจะกินบรั่นดีผสมพริกดอง ผสมรัมกับน้ำขิง หรือ ทำตามสูตรของค็อกเทลทั่วไปได้เช่นกัน เช่น มาร์การิต้า ไหมไทย โมจิโต้พิงค์เลดี เป็นต้น
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะดื่มเหล้าคู่กับพริก ค็อกเทลชื่อดังอย่าง “บลัดดีแมรี่” ก็ได้มีการนำเหล้า น้ำมะเขือเทศ ทาบาสโก และวูสเตอร์ซอส ชงผสมออกมาเป็นค็อกเทล ริเริ่มทำในปี พ.ศ. 2464 (ค.ศ.1921) โดยแฟร์นองด์ เปอติโอต์ บาร์เทนเดอร์ชื่อดังในอเมริกา อาจเพราะด้วยรสชาติที่เผ็ดร้อนสดชื่น ให้ความรู้สึกถึงความแปลกปาก ท้าทาย จึงถูกใจนักดื่ม เพราะเหตุนี้บลัดดีแมรี่จึงกลายเป็นเมนูยอดฮิต ผุดเป็นเหมือนดอกเห็ดแพร่กระจายตามร้านต่างๆ ในอเมริกาและทั่วโลกในเวลาต่อมา
ปัจจุบันมีหลายร้านในไทยเริ่มมีเมนูค็อกเทลรสเผ็ดมากขึ้น โดยส่วนใหญ่นำเสนอออกมาในรูปแบบของศิลปะ ก็แล้วแต่ว่าทางร้านอยากโชว์ออกมาในรูปแบบไหนเป็นพิเศษ บางร้านก็มีการนำเมนูอาหารไทยมาดัดแปลง อาทิเช่น ต้มยำ ต้มข่า ต้มแซบ หรือมะม่วงน้ำปลาหวาน ให้เป็นค็อกเทล
“ไม่ต้องกลัว…ลองดูสักครั้งไม่เสียหาย”
แต่การเข้าที่จะเข้าใจในรสชาติมันก็ต้องลองถูกไหม?
“’งั้นคืนนี้ถ้าคุณว่าง ผมอยากจะชวนคุณดื่มสัก 2- 3 แก้วด้วยสูตรค็อกเทลของผมเอง มีเพียงแค่วอดก้าขวดเดียวก็ใช้ได้แล้วครับ”
บลัดดี้แมรี่
ความพิเศษของเมนูนี้ ก็การใส่ซอสทาบาโกและวูสเตอร์ซอสลงไปนอกจากรสชาติที่ดูจะแปลกแล้วหน้าตาก็ดูคล้ายกับซอสบาร์บีคิวยิ่งกว่ากะไร แต่อยากจะบอกว่าบลัดดี้แมรี่ถึงจะเป็นเหล้าก็ช่วยให้แก้แฮงค์ได้ดีเลยล่ะ
ชิลลีมาร์ตินี
หากเป็นคนง่ายๆ อยากเริ่มต้นด้วยเมนูเบาๆ ผมขอแนะนำให้ลองดื่ม ‘ชิลลีมาร์ตินี’ เป็นอีกหนึ่งค็อกเทลที่คนนิยมสั่ง มีพริกจินดาเป็นวัตถุดิบหลัก ผสมกับน้ำสับปะรดสดชื่น ดื่มง่าย
วาซาบิมาร์ตินี
‘วาซาบิมาตินี’ อีกหนึ่งเมนูที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยมีรสชาติเปรี้ยวจากมะนาว กลิ่นจากหอมวาซาบีที่ส่งกลิ่นขึ้นจมูก จิบเพลินได้เรื่อยๆ
สามแก้วนี้เราสามารถเลือกเปลี่ยนชนิดความเผ็ดไปตามเครื่องปรุงของเราได้ครับ หรือเลือกใช้ชนิดเหล้าที่คุณชอบ ที่บ้านมีอะไรให้ใส่ลองหยิบจับมาดัดแปลงดู
…แล้วตอนนี้คุณได้แก้วโปรดของคุณหรือยัง?
ผมพร้อมแล้ว คุณล่ะพร้อมดื่มรึยังครับ ?
“Cheers !!”