จอร์เจีย เป็นประเทศที่มีความน่าสนใจตั้งแต่ชัยภูมิที่เป็นจุดบรรจบกันของทวีปเอเชียและยุโรป ตั้งอยู่บนเส้นทางสายไหม ผ่านประวัติศาสตร์อันยาวนานและบอบช้ำ วัฒนธรรมผสมผสานเก่าแก่ มีสถานที่ท่องเที่ยวที่ถูกโอบล้อมด้วยเทือกเขาคอร์เคซัสอันยิ่งใหญ่ สถาปัตยกรรมโบราณตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ แถมยังเป็นประเทศแรกในโลกที่ผลิตไวน์ และที่สำคัญ คนไทยไปเที่ยวไม่ต้องขอวีซ่า
ต้องบอกเลยว่าอาหารจอร์เจียอร่อยและกินไม่ยาก ไม่เลี่ยน กลิ่นไม่แรง และมีเมนูผสมผสานระหว่างเนื้อและผัก แถมเมื่อบอกว่าที่นี่เป็นแหล่งผลิตไวน์แห่งแรกของโลกก็ยิ่งเสริมออร่าให้ไวน์เปล่งประกายไปโดยปริยาย
สำหรับเมนูอาหารที่ไปแล้วต้องลองก็คือ ….
1.Khachapuri ขนมปังสไตล์จอร์เจียอบรูปทรงรี แหวกหน้าด้านบนโรยด้วยชีสและไข่ ดูไปก็คล้ายๆ พิซซ่านะแต่แป้งจะไม่เหมือนกัน แล้วก็เป็นเมนูดั้งเดิมมีมากว่า 2,000 ปีแล้ว
2.Kinkhali เกี๊ยวจอร์เจียนั่นเอง อันนี้เป็นเกี๊ยวต้มที่มีไส้ต่างๆ สามารถเลือกได้ตามชอบ ไม่ว่าจะเป็น ไก่ เนื้อ เห็ด ผัก ชีส ส่วนตัวคิดว่ารสชาติยังสู้เกี๊ยวบ้านเราไม่ได้ แป้งมีความหนา และตัวไส้ก็ไม่ได้มีรสชาติตราตรึงใจอะไรนัก แต่ไปแล้วก็ต้องลองแหละ
3.Pkhali อันนี้เป็นดิปผักปรุงรส แบบดั้งเดิมจะเป็นผักสับรวมกะหล่ำปลี มะเขือยาว ถั่ว ผักโขม ผสมกับวอลนัท น้ำส้มสายชู หัวหอม กระเทียม เครื่องเทศ แต่ละร้านจะมีให้เลือกหลากหลายชนิดมาก ที่กินง่ายหน่อยก็คือแครอท กับบีทรูท อันนี้ดีต่อลำไส้มาก ส่วนใหญ่กินกับขนมปัง cornbread (Mchadi) แต่เนื้อมันจะหยาบ แห้ง และแข็งหน่อย จริงๆ กินเปล่าๆ ได้ ถูกใจคนรักผักแน่นอน
4.Shkmeruli (Chicken in garlic sauce) เมนูนี้คือของโปรดของทริปนี้เลย มันจะเป็นเหมือนไก่อบในครีมซอส มีรสชาติเข้มข้น อร่อย และไม่เลี่ยน แต่ละร้านจะมีวิธีการทำแตกต่างกันไป เพราะกินมาทุกร้านแล้วยังไม่มีร้านไหนรสชาติเหมือนกันเลย
5.Kharcho สตูว์เนื้อมีรสเผ็ดเล็กๆ ตัวซุปมีส่วนผสมของวอลนัทเลยมีความเข้มข้นและรสจัด บางสูตรใส่ข้าวลงไปด้วย และบางร้านจะมีที่ทำจากเนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ ด้วย
มาถึงไวน์กัน ด้วยความที่จอร์เจียมีประวัติการผลิตไวน์มาอย่างยาวนาน ถือเป็นประเทศแรกในโลกก็ว่าได้ เค้าหมักไวน์มาตั้ง 8,000 ปี แล้ว แถบที่ปลูกและผลิตไวน์มากที่สุดคือ Kakheti มีไวน์ที่เป็นซิกเนเจอร์ของที่นี่และมีการหมักแบบโบราณ เรียกว่า Qvevri ซึ่งเป็นการหมักในภาชนะที่ทำจากดิน (Terracotta) และฝังไว้ใต้ดิน และอีกอย่างที่พิเศษไม่มีที่อื่นก็คือ Amber wine ไวน์สีส้มที่หมักโดยการทิ้งเปลือกองุ่นไว้นานหน่อยทำให้เกิดสีเข้มขึ้น แต่โดยรวมไวน์จอร์เจียจะออกรสหวานกว่าที่อื่นแม้ว่าจะเป็นไวน์ที่มีความดรายก็ตาม แต่ก็ถือว่าดื่มง่าย ราคาไม่แพง แต่ก็ไม่ถึงกับถูกมาก ถ้าสั่งตามร้านอาหารจะอยู่ที่ประมาณ 700 บาทขึ้นไป แต่ถ้าตามซูเปอร์มาร์เก็ตก็ประมาณ 400 บาท
สำหรับไวน์ที่แนะนำ
Red : Saperavi (Dry) / Akhasheni (Semi-Sweet)
White : Rkatsiteli (Dry) / Tsinandali (Dry – Rkatsiteli + Mtsvane)
เรามาเจาะลึกกับร้านอาหาร 3 ร้านที่ชอบที่สุดของทริปกัน
ถ้าจะไปกินมื้อเย็นแนะนำให้จองล่วงหน้าเพราะจากประสบการณ์เต็มทุกร้าน ถ้าไม่จองโต๊ะแล้วมาหลายคน มีสิทธิ์อดกิน เหมือนคนจอร์เจียจะนิยมกินอาหารนอกบ้านกัน แต่ที่ดีคือร้านอาหารเปิดทุกวันไม่มีวันปิดประจำอาทิตย์ แล้วก็เปิดถึงดึกดื่นซะด้วย นั่งกันชิลล์ เพลินเลย ส่วนใหญ่เวลาโทรไปจองเค้าจะบอกว่าเรามีเวลาแค่ 4-5 ชั่วโมง พอมั้ย 🙂
‘Margalita’ treasure in the neighborhood
Everyday : 9:30 am – 11 pm
Tel : +995 574 11 43 43
เราพบขุมทรัพย์โดยบังเอิญ คงเป็นโชคชะตาที่ลิขิตให้เราได้รับความประทับใจกับอาหารมื้อแรกในจอร์เจีย Margalita ร้านอาหารจอร์เจียนแบบดั้งเดิม ร้านไม่ใหญ่โตนัก กะทัดรัดและอบอุ่น ด้วยการตกแต่งแบบโฮมมี่ เจ้าของมีร้านขายไวน์อยู่ตรงข้ามกันชื่อว่า Sasmuri เพราะงั้นเลยมีไวน์ลิสต์ให้เลือกเยอะมาก
อาหารรสชาติอร่อยดีเว่อร์เกินความคาดหมาย เหมือนเป็นการต้อนรับอันอบอุ่นให้กับเราเลย แถมบริกรก็น่ารัก เฟรนด์ลี่สุดๆ ด้วยความที่เป็นอาหารมื้อแรกก็เลยอยากลองเมนูแบบพื้นถิ่นก่อนเลย แน่นอนที่สุดว่าเกี๊ยว Kinkhali และ Kachapuri ต้องมาขึ้นโต๊ะแน่นอน ต่อด้วยไก่ครีมซอส Shkmeruri นอกจากนั้นก็สั่งอะไรที่คิดว่าน่าจะกินง่ายๆ เช่น สลัด หมูกรอบทอด ซึ่งรสชาติจัดว่าเด็ดมาก มันกรอบนอก เค็มนิดๆ มีความ juicy ด้านใน โดนๆๆ แบบน้ำตาไหล จบท้ายด้วยขนมอีก 2 จาน นอนหลับสบายพุงกันถ้วนหน้า
ร้านนี้ไม่ได้อยู่ในลิสต์ที่เลือกมาตั้งแต่ต้น แต่ต้องขอติดดาวและแนะนำให้เป็นร้านที่ต้องมาชิมเลย!
‘Keto and Kote’ Hidden Gem on the hill
Everyday : 2 pm – 12 am
Tel : +995 555 53 01 26
Keto and Kote ร้านอาหารไฟน์ไดนิ่ง อาหารสไตล์ดั้งเดิมที่เติมความสร้างสรรค์ในการปรุงเข้าไป ทำให้มีความเป็นเอกลักษณ์ในความดั้งเดิม ตั้งอยู่ภายในบ้านเก่าในยุคศตวรรษที่ 19 มีขนาดใหญ่โตพอสมควร ด้านนอกมีชานที่เห็นวิวเมือง และมีโต๊ะให้นั่งได้ในฤดูร้อน จะเรียกว่าเป็นร้านลับก็คงได้ เพราะตำแหน่งที่ตั้งนั้นลึกลับหายากอย่างกับการเสาะหาอัญมณีชั้นดี ด้านในมีขนาดโอ่โถงและตกแต่งสวยสง่างาม แต่ไม่ถึงกับหรูหราเว่อร์วัง บรรยากาศดี มีโต๊ะเยอะพอสมควร แต่… เต็มทุกโต๊ะจ้ะ
ด้วยความที่เมนูมีไม่มาก เลยสั่งมาลองเกือบทุกจาน รสชาติอาหารถือว่าดีมากๆ ถูกปากทุกจาน แถมขนมยังอร่อยและมีให้เลือกหลากหลายจนตาลายเลือกไม่ถูก อันนั้นก็ดูดี อันนี้ก็ดูน่ากิน
เริ่มจากสลัดก่อน สั่งมา 2 จาน Avocado Salad / Chicken Salad ตามมาที่เบเกอรี ลองสั่ง Khachapuri ชนิดพิเศษที่เนื้อแป้งบางเบาสอดไส้ชีส โห อร่อย น้ำลายไหลเยิ้มตามชีสเลย
ส่วนจานหลักก็จะมี Fried mushroom with sea salt & Ghee / Ajapsandali (สตูผัก) / Beef Kharcho (แกงเนื้อ) / Lamp & Mushroom Shilaplavi (อันนี้เป็นข้าวสไตล์จอร์เจียน) / Dorado with baked potato (ปลาอบ) / Kebab (เคบับเนื้อ)
ถือเป็นดินเนอร์ที่เลอค่าและสร้างความทรงจำที่ดีให้กับอาหารจอร์เจีย ร้านนี้บอกเลยว่าห้ามพลาด!
‘Shavi Lomi’ Georgian cuisine with a Twist
Everyday : 12 pm – 2 am
Tel : +995 32 296 09 56
Shavi Lomi ถือเป็นร้านอาหารที่เรียกว่าช่วยปฏิวัติวงการร้านอาหารจอร์เจีย ย้อนกลับไปปี ค.ศ. 2011 ที่ร้านเปิด ช่วงนั้นร้านอาหารจะเห่อทำอาหารยูโรเปียน ไม่ค่อยมีใครสนใจเปิดร้านอาหารจอร์เจีย เชฟ Meriko Gubeladze เป็นคนที่บุกเบิกการทำอาหารพื้นถิ่นจอร์เจียให้ดูน่าสนใจมากขึ้น คือการเลือกใช้วัตถุดิบใหม่ๆ แต่คงรสชาติดั้งเดิมไว้
ร้านอยู่ในย่านที่ไม่ค่อยพลุกพล่านนัก แต่โดดเด่นตั้งแต่ประตูหน้าร้านที่มีการเพ้นท์รูปคนสีสันสดใส เมื่อเปิดประตูเดินเข้ามาด้านในจะเป็นส่วนของที่นั่งเอ๊าท์ดอร์ มีความร่มรื่นท่ามกลางต้นไม้ใหญ่น้อย มีความเป็นธรรมชาติ บรรยากาศสบายๆ บนกำแพงเพ้นท์ลายสิงโตสีดำ ซึ่งก็คือชื่อของร้านนั่นเอง Black Lion (Shavi Lomi) ในส่วนของด้านในค่อนข้างกว้างมากและแบ่งเป็นหลายๆ ห้อง การตกแต่งผสมผสานความเก่าใหม่ได้อย่างลงตัว ดูแล้วสบาย เป็นกันเอง ให้ความรู้สึกโฮมมี่ เหมาะกับการมานั่งกินข้าวกับกลุ่มเพื่อน และเหมาะทั้งมื้อกลางวันและกลางคืน
Shavi Lomi เป็นร้านอาหารจอร์เจียร้านที่ 2 ที่ฉันได้ลิ้มลอง ส่วนตัวค่อนข้างชื่นชอบทั้งในเรื่องของรสชาติที่ให้ความรู้สึกแบบโฮมเมด การจัดแต่งจานดูธรรมดาแต่สามารถทำให้เรารู้สึกได้ถึงความต้นตำรับ ที่คิดว่าเป็นไฮไลท์ของที่นี่ก็น่าจะเป็น Pkhali ที่เป็นดิปผักหลากหลายชนิด โดยความแตกต่างก็คือเทกเจอร์ของผัก มีความหยาบไม่ได้บดจนเละ และมาแบบคอมโบมาก คือมีผักทุกชนิด พร้อมกับชีส และ cornbread ในชามไม้ใหญ่ยักษ์ สำหรับคนชอบกินผักแล้วมันอลังการมาก ส่วนเมนูอื่นๆ ก็รสชาติดีมากๆ ไม่ว่าจะเป็น Shkmeruri ไก่ครีสมซอส Kebab แกะ และแกง Kharcho และที่ให้ความสดชื่นมากๆ ก็คือ homemade lemonade ที่ร้านนี้ทำอร่อยมาก
จอร์เจียมีความหลากหลายของสถานที่ท่องเที่ยว ทั้งสถาปัตยกรรมโบราณ และธรรมชาติอันยิ่งใหญ่สวยงาม แต่ถ้าถามว่าอลังการมากมั้ยก็ไม่เท่าประเทศยุโรปอื่นๆ เพราะเนื่องจากการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ ทำให้ความเจริญและการเก็บรักษาของเก่าๆ ยังเทียบเท่าไม่ได้ แต่ถ้าใครมองหาอะไรที่แตกต่าง ออกแนวผจญภัยเล็กๆ เหมือนเดินทางย้อนยุค ค่าครองชีพไม่แพงมากนัก อาหารก็อร่อยแถมกินง่าย ก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดี
เรื่องและภาพโดย: ชลิสา เดอซูซ่า
เปิดบริษัทออกแบบกราฟฟิก หลังจากทำงานสายโฆษณาอย่างยาวนาน งานอดิเรกเขียนบทความท่องเที่ยว ร้านอาหาร คาเฟ่ ซีรี่ย์ ลงในนิตยสาร วารสาร และ facebook เคยมีงานตีพิมพ์พ้อคเก็ตบุ้คทั้งหมด 4 เล่ม เกี่ยวกับประสบการณ์เดินทางประเทศภูฎาน เชค อินเดีย ฝรั่งเศส ชอบเดินทางท่องเที่ยวไปยังดินแดนแปลกใหม่เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับสถานที่ ผู้คน ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ธรรมเนียมปฏิบัติ เป็นการเปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ และนำส่วนที่ดีมาปรับใช้ในด้านทัศนคติและมุมมองการใช้ชีวิต
ให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองเรื่องสุขภาพ การออกกำลังกาย อาหาร ชอบทดลองกินอาหารและเครื่องดื่มพื้นถิ่น ร้านที่เก่าแก่เป็นที่ชื่นชอบของคนในที่นั้นๆ และบางครั้งนำมาทดลองทำกินเองบ้าง