ฉันคาดเดาความตื่นตระหนก หวาดกลัวไม่ได้ในช่วงสี่ห้าปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคตื่นตระหนก หรือ Panic Disorder หลายครั้งที่ความกลัวเข้าครอบงำทั้งร่างกายและจิตใจของฉัน บีบรัดแน่นจนฉันรู้สึกหายใจไม่ออก ควบคุมร่างกายไม่ได้ ความรู้สึกหวาดกลัวที่ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนมีรูโหว่อยู่กลางท้องอยู่เป็นประจำ มันทำให้ฉันสติแตกได้เสมอ แม้จะได้รับการรักษาด้วยยาจากจิตแพทย์ การดูแลเยียวยาด้วยวิธีต่างๆ จากนักจิตบำบัด หรือแม้กระทั่งปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และฝึกฝนตัวเองทั้งทางกายใจเพื่อเยียวยาตัวเองตลอดมา มิวาย ฉันก็ยังเผลอตกหลุมพราง ตกลงไปในหลุมเศร้าเพราะรู้สึกหมดหวังที่จะหาย บางครั้งหลุมนั้นก็ลึกและกินเวลายาวนานจนฉันเริ่มยอมแพ้ อาการของฉันหนักขึ้นเมื่อต้องกักตัวอยู่ในที่ปิดในยุคโควิดที่หาพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจยากขึ้นเรื่อยๆ
ฉันฝึกโยคะ เพราะรู้ว่ามันจะดีกับร่างกายและจิตใจของฉัน กระทั่งวันหนึ่งมันเริ่มไม่ได้ผลอย่างที่เคย ฉันนอนร้องไห้อยู่บนเสื่อโยคะบนพื้นห้องคอนโดเล็กๆ ของฉันอย่างหยุดไม่ได้ เมื่อแขนของฉันกางออกแล้วติดกับขาเตียง ความรู้สึกไม่เอาไหนมันเกาะกินใจของฉัน นานแล้วที่ฉันคิดงานอะไรไม่ออก นานแล้วที่ฉันไม่ได้ออกไปข้างนอก นานแล้วที่ฉันไม่ได้สัมผัสธรรมชาติ นานแล้วที่ฉันไม่ได้หายใจโดยไม่ผ่านหน้ากากอนามัยอย่างเต็มปอดให้รู้สึกสดชื่น ฉันเริ่มคิดว่าฉันช่างไร้ประโยชน์และทำอะไรไม่สำเร็จเลยสักอย่าง ฉันตัดขาดจิตใจออกจากร่างกายเพื่อให้ตัวเองรู้สึกเจ็บปวดน้อยลง
ฉันนั่งจัดของรกเลอะเทอะในบ้านเพื่อให้รู้สึกว่าฉันยังมีประโยชน์อยู่บ้าง ฉันเหลือบไปเห็นสมุดเก่าๆ เล่มหนึ่งที่ถูกเก็บไว้ในหลืบมุมหนึ่งของบ้าน เมื่อเปิดดู ภายในเต็มไปด้วยลายมือหวัดๆ มีทั้งคำภาษาไทยสะกดงงๆ คำภาษาอังกฤษที่เขียนทับศัพท์ หรือแม้แต่คำภาษาจีนที่ฉันอ่านไม่ออก ฉันค่อยๆ พลิกกระดาษสมุดที่แห้งกรอบพร้อมจะขาดทีละหน้า พบกระดาษโน้ตและกระดาษหนังสือพิมพ์จีนถูกตัด พับเก็บไว้แทรกอยู่บ้าง ฉันพยายามแกะลายมือเหล่านั้น มันถูกเรียบเรียงจากความทรงจำและประสบการณ์ของอาโผ่ (คุณย่าเชื้อสายจีนแคะของฉัน) ที่เสียไปแล้วกว่าสิบปี กลายเป็นสูตรอาหารที่เว้าแหว่งและเป็นระเบียบที่สุด เท่าที่คนไม่มีระเบียบคนหนึ่งจะเขียนรวบรวมได้
“เหมือนได้นั่งไทม์แมชชีนเลยแฮะ…” ความรู้สึกแปลก แต่ดี เกิดขึ้นมาโดยที่ฉันไม่รู้ตัว ฉันเริ่มรู้สึกเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับอดีตของอาโผ่ ฉันเริ่มเห็นภาพอดีตที่เลือนราง สมัยที่อาโผ่ยังอยู่ ทำอาหารให้อากง (ปู่) กินทุกวัน และทำขนมเค้กให้หลานๆ ในทุกวันเกิดด้วยเตาอบแบบแก๊ส หนึ่งในสูตรเหล่านั้นคือเค้กครีมสับปะรดที่ทุกคนในตระกูลประทับใจ หลังจากอาโผ่เสียไปก็ไม่มีใครได้กินอีกเลย ฉันค่อยๆ หลุดลอยไปอยู่ในความทรงจำ พยายามนึกถึงรสชาติและสัมผัสของมัน แต่มันจางไปจากความทรงจำเหลือเกิน
ท่ามกลางความรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก ขุมพลังงานดับมืด เหมือนมีเปลวเทียนเล็กๆ ถูกจุดขึ้น นี่อาจจะเป็นครั้งแรกในรอบปีที่ฉันอยากลุกขึ้นมาจากท่าศพบนเสื่อโยคะแล้วเริ่มทำอะไรสักอย่าง ไม่ใช่แค่เพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น แต่ถ้าโชคดี มันสำเร็จ คนรอบข้างฉันจะได้กินเค้กอาโผ่อีกครั้งด้วย ฉันลุกไปเปิดเตาอบในบ้านที่ไม่ได้เปิดใช้มาหลายปี พบว่ามันยังทำงานได้ดี ฉันคงไม่มีข้ออ้างแล้วสิ ต่อให้ฉันเข้าครัวนับครั้งได้ในชีวิตนี้ และต่อให้มันไม่สำเร็จ ฉันตั้งใจแล้วว่า ฉันจะทำเค้กครีมสับปะรดของอาโผ่
ด่านแรก จัดเตรียมอุปกรณ์และวัตถุดิบให้พร้อม ครัวของฉันเละเทะเต็มไปด้วยของที่กองสุมไม่ได้ใช้ อุปกรณ์ทำขนมทั้งหลายถูกเก็บลืมอย่างกระจัดกระจาย ฉันจดสิ่งที่จะต้องซื้อเพิ่มเพื่อทำเค้กให้สำเร็จหนึ่งก้อน แล้วเดินออกจากบ้านในชุดนอนทั้งที่ไม่ได้อาบน้ำ เพื่อออกไปตามล่าวัตถุดิบจากซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้ๆ บ้าน ราวกับซอมบี้ที่คิดการใหญ่ทำภารกิจระดับโลก ฉันเดินอย่างอ่อนแรงกลับบ้านพร้อมข้าวของเต็มมือ เมื่อมองของทั้งหมดที่กว้านซื้อมาตรงหน้า ล้วนเป็นของบริโภคได้เพื่อนำมาประกอบกันเป็นเค้ก ฉันเริ่มรู้สึกมีพลังอย่างประหลาด ยิ่งพร้อมรบมากเท่าไหร่ พลังงานอยากทำเค้กก็มากขึ้นเท่านั้น ฉันเคลียร์พื้นที่ในครัวให้พอทำงานได้ รวมพลอุปกรณ์ที่ฉันคิดว่าต้องใช้ออกจากจุดซ่อนหลากมุมในบ้าน มาวางเรียงเตรียมพร้อมใช้งาน มีดหั่นเนย จานชามใส่วัตถุดิบ แยกส่วนประกอบทุกประเภทราวกับอยู่ในรายการทำอาหาร ชามสลัดพลาสติกใบเขื่องที่ฉันใช้แทนอ่างผสม เครื่องตีไข่ไฟฟ้าที่ฉันงมเสียบตะกร้อเข้ากับตัวเครื่องอยู่หลายนาที เพราะลืมวิธีใช้ไปแล้ว ฉันเพิ่งสังเกตว่าช้อนในบ้านฉันดูเหมือนมีจำนวนเป็นอนันต์ เพราะฉันหยิบคันใหม่ทุกครั้งที่ต้องตักส่วนผสมแต่ละอย่างเข้าๆ ออกๆ เพื่อให้เลขบนตาชั่งดิจิทัลตรงกับจำนวนในสูตรเป๊ะ พิมพ์ขนมเค้กวงกลมถอดฐานได้ที่ฉันไม่เคยเห็นถูกปูด้วยกระดาษไข ม้วนฟอยล์อะลูมิเนียมตั้งอยู่ข้างๆ… (ฉันหยิบมาเตรียมใช้ทำอะไรนะ…) ด้ามมีดเชฟขนาดยาวแปดนิ้วอยู่ในมือขวา ขณะเดียวกับด้ามแท่งเหล็กลับมีดอยู่ในมือซ้าย ฉันกำลังลับมีด เบื้องหน้าของฉันมีสับปะรดหนึ่งลูกตั้งตระหง่านอยู่บนเขียง ฉันเริ่มลงมือปอกสับปะรดเองครั้งแรกในชีวิตตามคลิปในยูทูบ พลางคิดในใจว่า ฉันมีบรรดาเครื่องครัวอบมากมายขนาดนี้อยู่ในบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เกรงว่าจะต้องสังคายนาของใช้ในครัวให้เป็นระเบียบเสียแล้วหลังจากนี้
ความสงสัยใคร่รู้ระคนพิศวงงงงวยของฉันเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว เมื่อขั้นตอนทำเค้กครีมสับปะรดที่อาโผ่จดไว้จบลงแบบดื้อๆ อาโผ่ทิ้งฉันค้างไว้ที่ขั้นตอนสร้างเนื้อเค้ก ยังเป็นส่วนผสมแยกกันสองชาม มันจะมารวมกันกลายเป็นเนื้อเค้กไปเทใส่พิมพ์พร้อมอบได้อย่างไร ฉันต้องย้อนกลับไปตามหาความช่วยเหลือจากยูทูบเบอร์สอนทำเค้กอีกหลายครั้งเพื่อคลำหาทาง แถมยังต้องมโนเอาเองว่าส่วนผสมที่มีอยู่ในสูตรแต่ไม่อยู่ในขั้นตอน มันควรจะไปถูกใช้ที่ขั้นตอนไหนกันแน่ อาโผ่ฝากสูตรเค้กไว้เหมือนฝากลายแทงสมบัติโบราณ สมบัติแสนอร่อยนี้มันมีอยู่จริงใช่ไหมนะ ทางที่ฉันคลำมาแบบมั่วๆ นี้จะพาฉันไปสู่ขุมทรัพย์ในความทรงจำได้จริงหรือ ฉันเดินทางมาอย่างไม่แน่ใจว่าปลายทางเมื่อเปิดฝาเตาอบแล้วจะพบกับอะไร…
ค่ำแล้ว… เหงื่อฉันท่วมตัวขณะที่กดนาฬิกาจับเวลาอบเค้ก ฉันทิ้งตัวนั่งลงที่พื้นหน้าเตาอบถึงได้รู้ตัวว่าฉันยืนมานานหลายชั่วโมง นานแค่ไหนแล้วนะ ที่สมาธิของฉันสามารถจดจ่อกับอะไรได้นานขั้นลืมเวลาขนาดนี้ หูที่มักได้ยินเสียงแต่ไม่ใคร่ตั้งใจฟัง เงี่ยฟังเสียงโลหะในเตาขยับเขยื้อนเนื่องจากความร้อนที่เปลี่ยนแปลง คลอเสียงเพลงที่ไม่คุ้นเคยเปิดลอยในบรรยากาศ ร่างของฉันรู้สึกเหนื่อย แต่ใจฉันกลับผ่อนคลาย
นานแค่ไหนแล้วนะ ที่อวัยวะหมวดหมู่เข้าครัวของฉันถูกแช่แข็งไว้ไม่ได้ใช้งาน ตาที่ปกติเพ่งแสงสะท้อนจากจอคอมพ์ทั้งวัน ต้องแสงรำไรในเตาอบแทน เฝ้าหวังว่าสิ่งที่อยู่ในนั้นจะกลายเป็นเค้ก ทั้งที่รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในพิมพ์จะไม่ฟูขึ้นทันตาเห็น หรืออาจจะไม่ฟูขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ กระดาษไขรองพิมพ์ปลิวตามแรงพัดลมในเตา ฉันพยายามจ้องตัวเลขเล็กๆ รำไรที่ปลายเข็มเทอร์โมมิเตอร์แบบแขวน ให้แน่ใจว่าอุณหภูมิในเตาอบจะคงที่ที่ตัวเลขที่อาโผ่บอกไว้ในสูตร นิ้วที่มักหมดเวลาไปกับการเลื่อนไถทัชสกรีนและพิมพ์บนแป้นคีย์บอร์ด วันนี้ได้สัมผัสแป้ง เนย ไข่ น้ำตาล น้ำมัน อุณหภูมิและสัมผัสของพวกมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาจนน่าประหลาดใจ ฉันต้องล้างมือและอุปกรณ์อยู่หลายครั้ง เพื่อให้รู้สึกว่าทุกอย่างสะอาดสดใหม่ทุกครั้งที่สัมผัส
ตอนนี้ดูคล้ายกับว่า ฉันกำลังนั่งจ้องตากับเตาอบ เหมือนกำลังคุกเข่าง้อให้เพื่อนเครื่องใช้ไฟฟ้านี้ที่ไม่ได้เสวนากันมานานกลับมาสนิทกับฉันใหม่ ยอมให้อภัยฉันแล้วดลให้เค้กฟูขึ้นมา
กลิ่นที่ลอยออกจากเตาเริ่มเปลี่ยนจากกลิ่นความร้อนกลายเป็นกลิ่นหอมเบาๆ ที่ห่างเหินกันไปนาน ดูเหมือนว่าเตาอบจะให้โอกาสฉัน ระหว่างรอเนื้อเค้กชิฟฟ่อนรสสับปะรดของอาโผ่ฟื้นคืนชีพ ฉันมีความหวังเต็มเปี่ยมหัวใจว่ามันจะสำเร็จ ฉันลงมือทำครีมเนื้อสับปะรดต่อ
นิ้วฉันเผลอกดปุ่มเครื่องปั่นโดยที่ไม่ได้ปิดฝา ซากสับปะรดปั่นกระเด็น 360 องศาทั่วครัว หลังใช้เวลาเก็บกวาดแล้วทำครีมต่อตามคำใบ้จากสูตรอาโผ่ ในที่สุด ฉันก็ได้ครีมเค้กสับปะรดที่แยกชั้นน้ำสับปะรดออกจากเนยอย่างไม่เห็นใจคนตั้งใจทำเลย… แถมกลิ่นที่ลอยออกจากเตาอบเริ่มเปลี่ยนเป็นกลิ่นเหมือนขนมไข่ไหม้!
รู้ตัวอีกที เค้กก้อนละสี่ปอนด์กว่าหน้าไหม้ราวกับราหูอมไปครึ่งวงถูกยกออกจากเตาตั้งไว้รอให้เย็น ฉันกอบเศษเค้กที่ตัดส่วนไหม้ทิ้ง รวมเข้ากับแกงเนยคลุกสับปะรดตักใส่ปาก (ก็มันไม่เป็นครีม)
เค้กครีมสับปะรดของฉันไม่เป็นสับปะรดเอาเสียเลย! ฉันหัวเราะเสียงดังออกมาคนเดียวให้กับความซุ่มซ่าม ขาดประสบการณ์ และไม่เอาไหนของตัวเอง แต่นี่คงเป็นเสียงหัวเราะอย่างจริงใจครั้งแรกในรอบเดือนที่ผ่านมาของฉัน ฉันจบวันด้วยการเช็ดน้ำมันพืชที่ฉันปัดขวดหกกระจายทั่วครัวไปครึ่งขวดอีกครั้งตอนเก็บกวาดครัวรอบสุดท้าย!
“นี่มันวันหายนะอะไรกัน”
“…สนุกจัง!”
น่าแปลกที่ความ (ไม่) สำเร็จของเค้กอาโผ่ไม่ทำให้ฉันเสียความมั่นใจ จนรู้สึกว่าตัวฉันคือความล้มเหลว ท่าทีที่ดูดีระหว่างทางไม่ได้การันตีว่าปลายทางจะสำเร็จ เพราะฉะนั้น ฉันจะไม่มีวันรู้ว่ามันสำเร็จไหม นอกจากจะทำจนกว่ามันจะเสร็จเท่านั้น การอบขนมมันยากระดับที่ท้าทาย แต่ก็ไม่ยากเกินกว่าที่จะลองเริ่มทำใหม่ ระหว่างทางคือการทดลอง และทุกการทดลองคือการเรียนรู้ ไม่ใช่ความสำเร็จ
วันต่อมา ฉันกู้ความมั่นใจของตัวเองคืนมาด้วยการกลับไปทำคุกกี้ เมนูที่ซับซ้อนน้อยลงและเหมาะสมกับฝีมือของฉันมากขึ้นหน่อย ก่อนที่จะกลับไปแก้มือทำเค้กครีมสับปะรดของอาโผ่อีกหลายครั้ง เสียงตอบรับจากสมาชิกในครอบครัวบอกฉันว่ามันเข้าใกล้เค้กของอาโผ่ขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างแต่ละครั้งที่ฉันทำเค้กอาโผ่ ฉันคั่นด้วยการทำขนมที่ฉันเองหรือคนรอบตัวอยากกิน โดยหาสูตรจากโลกออนไลน์ ที่พร้อมจะถูกปรับเปลี่ยนให้เข้ากับวัตถุดิบที่มีหรือที่ชอบ หลายครั้งฉันก็เลือกทำสิ่งที่อยากทำแม้จะไม่ได้อยากกินเพียงเพราะฉันอยากทำ หรืออยากทดลอง ทั้งวัตถุดิบ เครื่องมือ หรือขั้นตอน ตั้งแต่คุกกี้ เค้ก ลามไปถึงขนมปัง
ตั้งแต่วันที่ฉันเริ่มทำเค้กอาโผ่ ถึงวันนี้ก็ผ่านไปมากกว่าหนึ่งเดือนแล้ว ฉันทำขนมแทบทุกวัน ฉันรู้สึกเหมือนได้กลับไปเป็นเด็กผ่านการ ‘เล่น’ ทำขนม ฉันเข้านอนพร้อมกับคลิปยูทูบที่ตอบคำถามว่าทำไมขนมที่ฉันทำในวันนี้ยังไม่สมบูรณ์ และถูกความเนิร์ดที่อยากทำเมนูใหม่ หรือเมนูเดิมแต่ซ่อมให้ดีขึ้น ปลุกให้ตื่นขึ้นในทุกวัน ครัวและตู้เย็นของฉันถูกจัดให้เป็นระเบียบพร้อมใช้งาน กลิ่นของขนมที่อบใหม่ทำให้ครัวมีชีวิตขึ้นมาพร้อมๆ กับฉันที่อยากลุกกลับขึ้นมาทำอะไรสักอย่างให้สำเร็จได้บ้าง มันทำให้ฉันเริ่มกลับมาดูแลเยียวยาตัวเอง ฉันรู้สึกมีชีวิตอีกครั้งเมื่อมือได้สัมผัสแป้งที่นวดอย่างลงแรง หรือประคองแยกไข่แดงออกจากไข่ขาวอย่างเบามือ ฉันยังคงมีสมาธิจดจ่อกับการทำขนมของแต่ละวันไม่ต่างจากวันแรกที่ทำเค้กอาโผ่ ฉันค่อยๆ เรียนรู้จักการทำงานกับตัวเองมากขึ้น เคลื่อนไหวช้าลงแต่กลับทำงานได้เร็วขึ้น ซุ่มซ่ามน้อยลงแต่คล่องแคล่วมากขึ้น เวิร์กโฟลว์ที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้โดยอัตโนมัตินั้นมักไม่ปล่อยให้ฉันเสียเวลาอย่างเปล่าประโยชน์ ไม่ต้องหยิบทรัพยากรออกมาใช้เกินจำเป็น ฉันเริ่มเข้าใจว่าว่าเตาต้องการเวลาเท่าไหร่ที่จะถึงความร้อนที่ฉันต้องการ แถมบางครั้ง มือของฉันก็สามารถ (เสี่ยงดวง) กะน้ำหนักโดของคุกกี้แต่ละก้อนได้ใกล้เคียงกันมากขึ้นราวกับถูกตาชั่งสิง
ฉันบันทึกการทดลองทำขนมในแต่ละวันของฉันลงในโซเชียลแสนร้างจากความเศร้าที่กัดกินฉันในช่วงที่ผ่านมา มันทำให้ฉันได้มีโอกาสกลับมาพูดคุยทั้งกับครอบครัวและเพื่อนที่ห่างเหินกันไปในช่วงปีหลัง แลกเปลี่ยนความรู้เรื่องการอบขนม แลกเปลี่ยนความคิดถึงและให้กำลังใจผ่านความโหยหาอยากลองชิม หรือแม้รีแอคเล็กๆ ก็สามารถนำไปสู่การถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันและกันได้ บางครั้งความห่วงใยก็ถูกส่งผ่านขนมที่ฉันทำส่งไปให้แม้เราจะไม่ได้พบหน้ากัน กลายเป็นว่า การทำขนมนำพาความรู้สึกอบอุ่นมา ไม่ต่างจากขนมที่อบเสร็จใหม่ๆ หอมกรุ่น มีชีวิตชีวา ฉันเริ่มรู้สึกว่าฉันไม่ได้กำลังต่อสู้กับโรคที่กัดกินหัวใจฉันอยู่คนเดียวอีกต่อไป
ฉันไม่ได้แน่ใจนักว่าทางวิทยาศาสตร์หรือทางจิตวิทยา การอบขนมมันช่วยเยียวยาฉันได้อย่างไร แต่ความมีชีวิตชีวาเมื่อทำขนม แถมด้วยพลังที่ฉันได้รับจากคนรอบข้าง ทำให้ฉันรู้สึกอยากตื่นเช้ามาเปิดเตา อบขนมใหม่อีกครั้งอย่างกระตือรือร้น แค่นี้ก็มีความหมายมากเพียงพอสำหรับฉันให้อยู่ต่อไปในวันพรุ่งนี้แล้ว
ป.ล. มีหลายคนเคยแนะนำให้ฉันเริ่มเลี้ยงสัตว์เพื่อช่วยเยียวยาความวิตกกังวลและความเศร้าจากอาการของโรคที่ติดตัวฉัน ตอนนี้ฉันมีเพื่อนใหม่เป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดี่ยวชื่อยีสต์! มันเติบโตอยู่ในขวดโหลที่ฉันวางไว้ในครัว เราวางแผนกันว่ามันจะมาช่วยสร้างชีวิตให้กับขนมปังก้อนใหม่ในอนาคต
เรื่องโดย: ธนีดา หาญทวีวัฒนา
ชื่อเล่นชื่อกุ๊ก แต่เพิ่งหัดเข้าครัว สมัยก่อนชอบกินมากกว่าชอบทำ แต่ตอนนี้ชอบทำมากกว่าชอบกิน