8 ข้อดีของชีส กินได้ไม่รู้สึกผิด!

32,533 VIEWS
PIN

image alternate text
image alternate text
เชื่อไหมว่าถ้ากินในปริมาณที่พอเหมาะ ชีสช่วยให้ผอมด้วยนะ

พูดถึง ‘ชีส’ ส่วนใหญ่จะมีภาพจำว่าอร่อยแต่อ้วน กินแล้วไม่น่าจะมีผลดีต่อร่างกาย ยิ่งกับใครที่กำลังไดเอทอยู่แล้วละก็ ชีสเป็นศัตรูอันดับต้นๆ ที่ต้องเลี่ยงให้ไกล เพราะเต็มไปด้วยแคลอรี ไขมัน และโซเดียม แต่จริงๆ แล้วเชื่อหรือไม่ว่าชีสมีประโยชน์กับร่างกาย ดีต่อสุขภาพมากจนรู้แล้วจะต้องร้องว่า “จริงเหรอ?”

ทำไมถึงเป็นแบบนั้น ก็เพราะอย่าลืมว่าชีสแท้จริงแล้วก็คือนมสดแท้ๆ ที่ถูกนำมาผ่านกระบวนการให้จับตัวเป็นก้อนหรือเป็นแผ่น ฉะนั้น ประโยชน์ใดๆ ที่เราพึงได้จากนม เราก็จะได้จากชีสเช่นกัน ชีสแต่ละชนิดล้วนอุดมด้วยโปรตีน แคลเซียม กรดไขมัน โฟเลต วิตามินเอ วิตามินดี มีครบหมด การรับประทานชีสในปริมาณที่เหมาะสมจึงจะช่วยให้ร่างกายได้รับประโยชน์มากมาย ตามที่เราเอามาให้อ่านกันนี้เลย

1. เสริมสร้างกล้ามเนื้อ

ชีสก็คือเวย์โปรตีนดีๆ นี่เอง สามารถช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและเคซีนในร่างกาย แถมยังเหมาะสำหรับการกินก่อนนอนด้วย เพราะกรดอะมิโนที่อยู่ในชีสจะถูกดูดซึมเข้าไปเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ในระหว่างที่ร่างกายของเรากำลังนอนหลับพักผ่อน

2. ดีต่อกระดูก
ชีสมีธาตุแคลเซียมอย่างเหลือเฟือที่จะช่วยเสริมสร้างกระดูก เชดด้าชีสเพียง 100 กรัมก็มีปริมาณแคลเซียมถึง 710 มิลลิกรัม ในขณะที่นมสด 1 แก้ว (244 กรัม) มีแคลเซียมเพียง 305 มิลลิกรัมเท่านั้น นอกจากนี้ชีสยังอุดมไปด้วยโปรตีนและวิตามินดี ที่ส่งผลดีต่อมวลกระดูก ลดความเสี่ยงโรคกระดูกพรุนได้เป็นอย่างดี

3. ป้องกันฟันผุ

เชื้อแบคทีเรียบางชนิดอย่างโพรไบโอติกที่อยู่ในชีสช่วยยับยั้งไม่ให้เกิดฟันผุได้ ที่ฟินแลนด์มีการทดลองกับอาสาสมัคร 74 คน ในช่วงอายุ 18-35 ปี พบว่าเมื่อรับประทานชีสปริมาณ 75 กรัมต่อวัน ปริมาณเชื้อแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุของฟันผุ และยีสต์ที่เป็นสาเหตุของปัญหาช่องปากลดลงอย่างมาก จนทำให้ความเสี่ยงปัญหาสุขภาพช่องปากลดลง การเคี้ยวชีสก้อนเล็กๆ ยังถือเป็นการเคลือบฟัน เพื่อป้องกันฟันผุและเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับฟันไปในตัว

4. ควบคุมน้ำหนักและลดความอ้วน

แทบจะเรียกว่าปฏิวัติความเชื่อกันเลยทีเดียว! ซึ่งก็เป็นเพราะชีสอุดมด้วยโปรตีนและแคลเซียมที่ช่วยในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ แต่การจะเสริมสร้างกล้ามเนื้อได้นั้นจะต้องอาศัยการเบิร์นพลังงานออกจากร่างกาย ดังนั้นในระหว่างวันคนที่ออกกำลังกายเสริมสร้างกล้ามเนื้อและกินชีสประจำในตอนเช้า แม้จะนั่งอยู่เฉยๆ ก็จะสามารถเบิร์นพลังงานส่วนเกินออกจากร่างกายได้มากกว่าคนที่ไม่ได้ออกกำลังกายและกินชีส อีกทั้งไขมันในชีสยังทำให้อยู่ท้องนานขึ้น และไม่รู้สึกหิวบ่อย

5. ลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน
ชีสมีกรดไขมันทรานส์ปลามิโทเลอิก (Trans-palmitoleic Acid) ซึ่งเป็นกรดไขมันที่พบได้ในผลิตภัณฑ์นม โดยกรดไขมันชนิดนี้สามารถลดความเสี่ยงโรคเบาหวานได้กว่า 60% ชีสยังช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอล ระดับอินซูลิน ลดความเสี่ยงการอักเสบต่างๆ และเพิ่มความไวต่ออินซูลินได้

6. ลดระดับคอเลสเตอรอล บำรุงหัวใจ
กรดไขมันบิวไทเรตในชีสมีบทบาทในการยับยั้งการสะสมไขมัน จึงช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL-Cholesterol) ได้ และถ้าจะให้ดีกับสุขภาพหัวใจมากขึ้น แนะนำให้รับประทานบลูชีสกับไวน์แดง เพราะนอกจากจะได้ประโยชน์จากชีสแล้ว ก็จะได้ประโยชน์จากสารเรสเวอราทรอล (Resveratrol) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจไปด้วยเลย

7. ดีต่อระบบย่อยอาหารและการไหลเวียนเลือด

ระบบการย่อยของเราต้องการแบคทีเรียชนิดดีที่อยู่ในช่องท้อง ซึ่งชีสมีคุณสมบัติเป็นมิตรกับแบคทีเรียเหล่านี้ เนื่องจากชีสอุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินหลากหลายชนิด จึงช่วยกระตุ้นให้ร่างกายผลิตแบคทีเรียที่ดีกับระบบย่อยอาหารได้มากขึ้น เมื่อระบบย่อยอาหารไร้ปัญหา ระบบเผาผลาญก็จะทำงานดี การไหลเวียนเลือดก็คล่องตัวตามไปด้วย

8. ปลุกพลังงานในร่างกาย

ไขมันอิ่มตัวที่มีอยู่ในชีสได้รับการยืนยันจาก Harvard School of Public Health ว่ามีส่วนช่วยปลุกความตื่นตัวและให้พลังงานกับร่างกายได้เป็นอย่างดี

แต่แม้จะมีประโยชน์มาก ทว่าชีสก็มีทั้งแคลอรี ไขมัน และโซเดียมสูง จะกินเพื่อให้ได้ประโยชน์ก็ต้องจำกัดปริมาณกันสักหน่อย เพราะหากรับประทานมากเกินไป แทนที่จะได้ประโยชน์จะกลายเป็นโทษ เสี่ยงเป็นโรคหัวใจ ความดัน และโรคอ้วนได้ง่ายๆ Harvard School of Public Health แนะนำให้รับประทานชีสแค่พอหอมปากหอมคอทุกวัน แทนขนมขบเคี้ยวอย่างคุกกี้ หรือขนมแคลอรีสูงอื่นๆ เท่านั้นก็พอ

หรือจะใช้วิธีเลือกชีสที่มีปริมาณเกลือน้อย ที่ส่วนใหญ่เป็นชีสชนิดนิ่ม หลีกเลี่ยงชนิดแข็ง เช่น พาร์เมซาน เลือกชีสที่ทำสดใหม่ อาทิ คอตเทจชีส เพราะมีโปรตีนที่ดีกับสุขภาพในปริมาณมาก รับประทานชีสคู่กับโปรตีนอย่างเนื้อไก่ หรืออาหารที่มีไฟเบอร์สูง เช่น แอปเปิล บรอกโคลี หรือมะเขือเทศ ก็จะดีกับสุขภาพมากกว่ากินชีสเปล่าๆ

ที่มา:

https://www.pobpad.com/
https://health.kapook.com/
https://www.noozup.me/2491456/

RECOMMENDED ARTICLES
RECOMMENDED VIDEOS