“กินวิตามินซีเยอะๆ สิจะได้ไม่ป่วย”
“กินมะระสิ ป้องกันโควิด”
ข้อมูลและคำแนะนำเกี่ยวกับการกินเพื่อสุขภาพที่ดูน่าเชื่อถือในโลกอินเทอร์เน็ตซึ่งอาจไม่ได้ระบุแหล่งที่มา ไม่ได้รับการตรวจสอบหรือเป็นคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ แต่กลับไปไวแค่ปลายคลิก เมื่อมีหนึ่งคนเชื่อ สองคนเชื่อ สามคนเชื่อ พันคนเชื่อ… และอาจฝังความเชื่อผิดๆ ขยายเป็นวงกว้างทุกครั้งที่คลิกแชร์ จนกลายเป็นการสร้างพฤติกรรมการกินที่เกินแก้และส่งผลเสียกับร่างกาย
เพื่อไขข้อข้องใจในการดูแลสุขภาพด้วยโภชนาการและการออกกำลังกายที่ทุกคนสามารถสร้างได้ด้วยตนเอง KRUA.CO จึงมาคุยกับ วาว วรงค์พร ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการและการออกกำลังกาย จากอดีตพนักงานบริษัทเอเจนซี่ที่การทำงานหนักของเธอคือเรื่องปกติ จนร่างกายส่งสัญญาณว่าไม่ไหว เลยหันมาเอาใจใส่ดูแลตัวเองจนอินกับการดูแลสุขภาพ ก่อนตัดสินใจลาออกไปเรียนต่อด้านการเทรน (American Council on Exercise) และ nutrition กลับมาเป็นผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำด้านโภชนาการและการออกกำลังกาย ด้วยหวังว่าความรู้ที่ถูกต้อง จะส่งต่อให้คนดูแลสุขภาพตัวเองได้ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง
จากที่เริ่มดูแลตัวเอง ผันตัวมาเป็นคนให้คำแนะนำด้านโภชนาการและการออกกำลังกายได้ยังไง
พี่เป็นคนชอบสอนด้วย คือตั้งแต่เด็กพี่เป็นเด็กเนิร์ด ชอบอ่านหนังสือ ทำสรุปมาแล้วก็เอามาสอนคน เรารู้สึกแฮปปี้เวลาได้แบ่งปัน อย่างช่วงโควิดเราก็หันมาทำเว็บไซต์ FIT-D อย่างจริงจัง เพื่อมาปรับความรู้ความเข้าใจคนในการดูแลสุขภาพ เบสมันเลยจะเป็น educate อะไรก็ได้ที่ทำให้คนไทยมีความรู้ที่ถูกต้อง ทุกอย่างที่อยู่ในนี้บทความ คลิป ไลฟ์คือฟรีหมด มันต้องให้อะไรฟรีกับคนไทยบ้างแหละ เราก็มีรายได้จากฟิตเนสที่เราทำอยู่ แต่ถามว่ามันจะรวยเหมือนคนที่ทำฟิตเนสใหญ่ๆ อย่างเดียวเลยไหม มันคงไม่รวยหรอก พออยู่ได้ไปเรื่อยๆ ระยะยาวเราก็จะมีกลุ่มคนที่มีความรู้ด้านดูแลสุขภาพมากขึ้น หนึ่งคนที่มีความรู้มากขึ้นมันไม่ได้จบแค่หนึ่งคน เขาจะดูแลลูก ดูแลพ่อแม่ ดูแลเพื่อน มันคือแนวทางที่พี่มอง อยากให้ทุกคนรู้ว่ากินอาหารต้องกินยังไง จบแล้วที่จะมาถามว่ากินอันนี้อ้วนไหม เพราะมันยาก มันตอบไม่ได้ อ้วนไม่อ้วนมันดูปริมาณแคลอรีทั้งวัน หรือกินหลัง 6 โมงเย็นได้ไหม ได้สิ พิซซ่าตอนตี 3 กับพิซซ่าตอนเที่ยงแคลอรีเท่ากัน แต่สิ่งที่ไม่เท่ากันคือคุณใช้แคลอรีออกไปหรือเปล่าเท่านั้นเอง
คนตื่นตัวดูแลสุขภาพกันมากขึ้นเพราะโควิดด้วย แต่ในยุคที่เราถูกป้อนข้อมูลจนล้นไปหมด สิ่งที่เราควรรู้และควรทำเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเองจริงๆ คืออะไร
จริงๆ ควรสร้างภูมิคุ้มกันอยู่ตลอด โควิดเป็นแค่โรคติดต่อทางระบบทางเดินหายใจชนิดหนึ่ง ไม่ว่าเป็นหวัด หรือโรคอะไร เมื่อเชื้อเข้าร่างกายถ้าเรามีภูมิคุ้มกันก็ป้องกันได้ระดับหนึ่งและสามารถหายได้ไว ร่างกายเรามีระบบภูมิคุ้มกันแต่เรามักจะมี activity ที่ทำลายภูมิคุ้มกันลงไป เช่น นอนดึก ช่วงการนอนคือการ recovery ของร่างกาย ปรับรีเซตทุกอย่างหมด ระบบย่อยอาหารจะหยุดทำงานพักผ่อน ระบบฮอร์โมนจะ calm ลง ทุกอย่างจะกลับมาฟื้นฟู กล้ามเนื้อ สมอง ได้พักผ่อนหมด ฉะนั้นถ้าพักผ่อนดีจะมีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว
ส่วนที่สองที่คนมักจะลืมกันคือเรื่อง ‘อาหารการกิน’ ไม่ว่าวัยไหนถ้าไม่ใส่ใจเรื่องการกิน คุณมีสิทธิ์จะป่วยหมด กินให้ดีคือกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เท่านั้นเลย ทุกคนรู้ว่ามีอะไรบ้าง อีกส่วนคือต้องมี activity ให้ร่างกายขยับเขยื้อนบ่อยๆ ‘ความเครียด’ ก็มีผลมาก คนที่เครียดง่ายจะป่วยง่ายเพราะระบบฮอร์โมนทำงานไม่ปกติ เวลาเราเครียด ร่างกายจะไม่พร้อมปล่อยไขมัน และจะทำงานบกพร่องเพราะมันจะ alert ป้องกันภัยตลอดเวลา เราต้องพักผ่อนให้เพียงพอ พยายามไม่เครียด จัดลำดับงานในแต่ละวัน ให้เป็นคนเมเนจความเครียดได้ดี นี่แหละที่จะสามารถมีสุขภาพที่ดีได้ มีภุมิคุ้มกันที่สูงขึ้นได้
ถ้าแบ่งเป็นช่วงวัย การสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายต่างกันมากไหม เพราะอย่างที่เราพอรู้ผู้สูงวัยภูมิจะต่ำ ติดโรคง่าย
จริงๆ ไม่อยากแบ่งตามวัย แต่แบ่งตาม activity และความแข็งแรงของร่างกาย เราสามารถเป็นผู้สูงอายุวัย 70 ที่แข็งแรงกว่าคนอายุวัย 50 ได้ ถ้าเขาเป็นผู้สูงอายุที่ active เก็ตไหม คนวัย 40 30 ดูแก่กว่า อ่อนแอกว่าคนที่มีอายุมากกว่าก็ได้ มันขึ้นอยู่กับความแข็งแรงส่วนบุคคลและ activity ของเขา อย่าง วัยเด็ก เบบี๋ คุณพ่อคุณแม่จะมีความรู้เรื่องโภชนาการที่โรงพยาบาลอัดมาอยู่แล้ว ก็จะไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องนี้เท่าไร โตขึ้นมาเริ่มกินอาหารถ้าบ้านไหนปล่อยให้กินขนม เด็กกลุ่มนี้จะป่วยบ่อย ชัดเลยว่าได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ เพราะเด็กเขา active อยู่แล้ว เรื่องนอนเด็กก็ไม่มีปัญหาความเครียดที่ทำให้นอนไม่หลับ กระเถิบมา วัยรุ่น ก็จะ active ยกเว้นบางกลุ่มที่ไม่ค่อยขยับทำอะไร นั่งเล่นเกม ดูทีวีทั้งวัน ไม่ว่าวัยไหนถ้าเป็นกลุ่มนึ้คืออันตราย ก็ต้องขยับเขยื้อนร่างกายให้มากขึ้น เช่น เดินไปหน้าปากซอยบ้าง ลุกขึ้นทำงานบ้าน เดินขึ้นบันไดบ้าง กินอาหารที่ดีใช้หลักการเดียวกันคือ 5 หมู่
ถัดมาเป็น วัยทำงาน พอ 30 ไป มวลกล้ามเนื้อจะเริ่มหายไปได้แล้วในทุกๆ 10 ปี เพราะไลฟ์สไตล์คุณเปลี่ยนจากวัยเด็ก วัยรุ่นที่คุณ active ตลอด พอทำงานคุณนั่งอยู่ที่ออฟฟิศตลอด ไม่ใส่ใจขยับร่างกาย เรื่องอาหาร ภูมิคุ้มกันคุณตกแน่นอน วัยผู้สูงอายุ จะมีความต่างแล้วนะ ความเสื่อมโทรมของร่างกายจะมากกว่าวัยอื่น ภูมิคุ้มกันมันพร้อมจะตกตลอดเวลา ถ้าในวัย 30 40 50 ปูพื้นไม่ดีเนี่ย อายุ 60 ขึ้นไปจะส่งผลมาก ผู้ใหญ่ที่ลุกนั่งเองได้ เดินเหินเองได้สะดวก มีคุณภาพชีวิตที่ดีคือเขามีการออกกำลังกาย active ในขณะที่บางคนนั่งจุมปุ๊กอยู่กับโซฟาไม่ไปไหน กลุ่มนี้จะเสี่ยงภูมิคุ้มกันตก
แล้วอะไรที่ไม่ควรกิน กินแล้วทำให้ภูมิคุ้มกันตก
ไม่ควรกินหรือควรลดคือ ‘น้ำตาล’ น้ำตาลเป็นตัวเร่งอักเสบ เวลาที่น้ำตาลเข้าสู่ร่างกายมันจะมีฮอร์โมนตัวนึงเรียกว่า อินซูลิน ที่เป็นตัวไปปรับระดับน้ำตาลกลับมาให้เป็นปกติ เวลากินน้ำตาลเข้าไป มันเข้าสู่เลือด ระดับน้ำตาลในเลือดจะพุ่งสูง อินซูลินจะเป็นตัวไปจับมันลง คนที่กินน้ำตาลตลอดเวลาอินซูลินก็เข้าไปจับตลอด จนอินซูลินไม่ทำงาน เรียกว่า Insulin resistance เกิดเป็นโรคเบาหวาน พอน้ำตาลมันเกินการใช้งานก็เกิดสะสมเป็นไขมัน เกิดเป็นโรคที่เกิดจากไขมันอีก ฉะนั้นน้ำตาลเป็นตัวอันตรายมาก สองคือ ‘ของปรุงแต่ง’ เราต้องกินของจากธรรมชาติมากที่สุด ธรรมชาติคืออะไรก็ตามที่มันโผล่ขึ้นมาจากดิน อยู่บนต้นไม้ เป็นสัตว์ที่เราเห็นเลยว่าเป็นแบบนี้ นี่คือของจากธรรมชาติ กินพวกนี้ให้เยอะๆ เท่าที่จะกินได้ พยายามลด processed food ลงให้ได้มากที่สุด นอกนั้นไม่มีอะไรที่กินแล้วส่งผลเสียไวทันที เช่น มะระขี้นก เราบอกว่ามันดีมากเลย แต่ถ้ากินในปริมาณเยอะไตพังได้เลย ทุกอย่างมีข้อดี ข้อเสีย ถ้ากินในปริมาณที่คนปกติกินมันไม่มีทางเป็นพิษ วิตามินซีที่กินอัดกันทีเป็นเม็ดๆ หลายพันมิลลิกรัม ทั้งๆ ที่ต่อวันกินประมาณ 80-100 มิลลิกรัมก็พอแล้ว คือเรากำลังโอเวอร์โดสตัวเองตลอดเวลา
จริงๆ แล้วอาหารเสริมจำเป็นไหม หรือคนกลุ่มไหนที่ต้องการ
กินวิตามินซีทำได้ในระยะเวลาสั้นๆ เมื่อเราป่วย แต่ไม่ควรเป็นกิจวัตรประจำวัน เพราะมันคือการใช้อวัยวะภายในอย่างสิ้นค่า เราไม่ได้ต้องการมากขนาดนั้น พอมันดูดซึมไม่ได้ก็ขับออก โชคดีที่วิตามินซีที่กินเข้าไปมันไม่ได้สะสมในร่างกาย แต่มันเปลืองเงิน เปลืองอวัยวะ ไม่รู้จะต้องให้ร่างกายทำงานหนักขับมันออกมาโดยไม่มีเหตุผลทำไม พยายามกินอาหารธรรมชาติให้มากที่สุด เพราะอาหารเสริมชื่อมันก็คืออาหารเอาไว้เสริมเท่านั้น อย่าเอาอาหารเสริมมาเป็นอาหารหลัก ไม่มีใครควรจะกินมื้อบางมื้อแทนด้วยเครื่องดื่มบางอย่าง ยกเว้นคุณกินไม่ได้จริงๆ เช่น ผู้ป่วยโรคมะเร็ง คนแก่ที่ไม่สามารถกินได้เองแล้วถึงจะเอาอาหารเสริมมาเป็นอาหารหลักเพราะเขาดำรงชีพปกติไม่ได้
แสดงว่าปัญหาหลักของคนที่กินผิดกินถูกคือคนที่มีความเชื่อผิดๆ
ใช่ค่ะ ความเชื่อที่เขารับมาบางทีเขาก็ไม่รู้ว่าอันไหนเชื่อได้อันไหนเชื่อไม่ได้ แม้แต่มีคนมาบอกว่าทำสิ่งนี้แล้วดี เพื่อนบอกว่าทำอย่างนี้ดี ทำกับเราอาจไม่ดีก็ได้ วิธีที่ดีจริงๆ ตรงกันทั่วโลกเลยนะ คือกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ 3 มื้อ นอนให้พอ กินให้ดี กินน้ำเปล่าให้เพียงพอ คือมันเป็นเบสิกที่เราเรียนตั้งแต่ประถม แต่เราเลือกที่จะไม่เชื่อโว้ยยย มันไม่ตื่นเต้น ง่าย มันง่ายเกินไปใครๆ ก็ทำ แต่ทำได้หรือเปล่าล่ะ ถ้าทำได้มันได้ผลจริงๆ นะ การได้ผลของมันคือต้องใช้เวลา 10-12 สัปดาห์ขึ้นไป ฉะนั้นถ้าคุณทำได้ 2 สัปดาห์แล้วมันไม่เวิร์ค อย่าเรียกว่ามันไม่เวิร์ค แต่เรียกว่าคุณทำไม่พอ
เบสิกการกินดีให้ร่างกายแข็งแรงคือกินให้ครบหมู่ ในเมื่อทุกคนรู้ แล้วคนกลุ่มไหนที่จะมาพึ่งคำแนะนำจากเรา
พี่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ คนที่แนะนำด้านอาหารในสายคนออกกำลังกาย และคนทั่วไป จะคนละศาสตร์กับการแพทย์ที่นักกำหนดอาหารทำงานตามโรงพยาบาลคู่กับแพทย์ เขาก็จะกำหนดให้เลยว่าต้องกินอะไร กี่กรัม เท่าไร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วย และกลุ่มคนที่ไม่มีช่วงเวลาในการปรับพฤติกรรมได้นานพอ เขาต้องการเดี๋ยวนี้เลย มันเป็นเรื่องเร่งด่วนแล้วเพราะเป็นโรค ก็จะบอกเลยว่าต้องกินอะไร ซึ่งในกลุ่มคนทั่วไปไม่ใช่แบบนั้น ส่วนแนวทางของพี่คือช่วยแนะนำให้เขามีความรู้ด้านโภชนาการ ปรับพฤติกรรมให้ดีขึ้นในระยะยาว คนที่คุยกับพี่มีหลายกลุ่มมาก เช่น อยากจะลดไขมันแต่ทำไม่ได้ คนที่พอใจในรูปร่างแล้วแต่สุขภาพไม่ดีจะปรับตรงไหนได้บ้าง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการปรับพฤติกรรมการกินการออกกำลังกาย
วิธีที่เข้าไปช่วยเขาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ว่าคือ…
มาคุยทำความเข้าใจกันก่อนว่าอาหารการกินที่ดีเป็นยังไง หลายๆ เคสเขาเข้าใจว่าสิ่งที่เขาทำมันดีแล้ว แต่จริงๆ มันไม่ดี เช่น กินน้ำผลไม้ดีแล้ว รู้สึกว่าน้ำผลไม้เป็นสิ่งที่ healthy ทั้งๆ ที่น้ำผลไม้ไม่ใช้สิ่ง healthy มันเป็น sugary มาก ถึงจะบอกว่าเป็นน้ำผลไม้ธรรมชาติ 100% แต่มันมีฟรุกโตสที่เป็นน้ำตาลธรรมชาติอยู่แล้ว ซึ่งไม่เหมาะกับคนบางกลุ่มเลย คนกลุ่มเดียวที่เหมาะคือคนที่มีร่างกายแบบ Ectomorph ผอมสูง หุ่นเก้งก้าง ย่อยคาร์โบไฮเดรตได้ดีกว่ากลุ่มอื่น ผอมง่าย อ้วนยาก กลุ่มนี้กินได้ กินคาร์บสูงๆ ได้ ในกรณีที่เขาสุขภาพร่างกายปกติทั่วไปนะ ไม่ได้มีปัญหาเบาหวานอะไร ในขณะที่กลุ่มอื่น มันไม่เวิร์คเลยเว้ย เพราะไอ้สิ่งที่เขาคิดว่า healthy มันคือการอัดส้มประมาณ 7-8 ลูก ในคราวเดียวกัน แต่ถ้าเรากินเป็นผล เราอาจหยุดที่ 2 ลูก ก็ต้องมานั่งคุยกันว่ามีอะไรที่ควรจะปรับ อะไรที่ทำให้ healthy ขึ้นและ keyword คือทำให้เขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ด้วย
พฤติกรรมมันผิดทางเพราะที่เขารู้และเชื่อมาตลอดมันผิด พอเราให้ข้อมูลที่เป็นความจริงกับเขา มันเปลี่ยนความคิด ความเชื่อหรือพฤติกรรมเขาทันทีเลยไหม
มีหลายคนที่อยากเปลี่ยนแต่ไม่พร้อมจะปรับ ทุกอย่างมีคำถามหมด ความยากไม่ใช่การสอนเขา แต่ความยากคือเรื่องของจิตวิทยาที่จะเข้าไปดูให้ลึกว่าจริงๆ แล้วปัญหาคืออะไร พี่จะบอกตลอดว่าพี่ไม่มายด์กับคนอ้วน ไม่มายด์คนรูปร่างอะไรเลย เพราะเราเรียนมาว่าคนเราไม่ได้มีรูปร่างอย่างใดอย่างหนึ่ง คนเราเกิดมาผอมสูง มีหุ่นแบบนักกีฬา และอ้วนท้วม อันนี้คือหุ่นคนปกติทั่วโลก แต่ที่พี่มายด์คือทุกคนควรจะสุขภาพดี ดูแลตัวเองได้ คุณจะท้วมก็ได้ แต่ไม่มีโรคเลย แล้วใช้ชีวิตได้อย่างดี นี่คือดีที่สุดแล้วที่เราควรจะเป็น เพราะฉะนั้น Body Shaming ไร้สาระมาก ถ้าคุณเข้าใจว่าทุกคนมีหุ่นของแต่ละคน คนที่พ่อแม่แขนขาใหญ่ มันไม่สามารถมาหุ่นเหมือนนางแบบ มันยากมาก ถามว่าทำได้ไหม ทำได้แต่ยาก สุดท้ายมันอาจจะไม่ได้ด้วย มันขึ้นอยู่กับกรรมพันธุ์ พันธุกรรม แต่คุณสามารถสุขภาพดีและแฮปปี้ในหุ่นแบบไหนก็ได้
แล้วกับเคสที่พลิกหรือเปลี่ยนชีวิตเขาเลยล่ะ
มีคนที่ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อนเลย ไม่ชอบเข้ายิม อ้วนมาตลอดชีวิต เป็นเด็กอ้วน โตขึ้นมาเป็นวัยรุ่นที่อ้วน วัยทำงานที่อ้วน แล้วมายิม ได้มารู้จักกับเราก็ตัดสินใจที่จะคุยกัน แล้วเขาก็ลองปรับดู ปรากฏว่าปรับได้ดีมาก ไม่ใช่เรื่องของอาหารอย่างเดียว แต่ทั้งทัศนคติ การใช้ชีวิต ความสดชื่น การมีความสุขในแต่ละวัน ถ้าพูดในแง่โภชนาการเราไม่ได้อยากจะไปกดดันเขาให้กินอะไรก็ไม่มีความสุข หรือมานั่งชั่ง ตวง วัด กินแต่ไก่กับพริกไทยกับเกลือ มันไม่ใช่แนวทางเลย nutrition ทั่วโลกเป็นแบบนี้หมดคือเราต้องหาทางให้เขามี happy และ healthy lifestyle อย่างยั่งยืน มันก็สนุกตรงนี้แหละ ทำให้เขามาเจอทาง มาเรียนรู้ว่ากินแต่ไก่กับไข่ต้มไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง เริ่มที่จะกินได้อย่างแฮปปี้และเฮลธ์ตี้ขึ้น
มโนเองไม่ได้ว่าฉันจะต้องกินอย่างนี้ถึงจะเหมาะ
จริงๆ ทำเองได้ แต่ว่าโลกในปัจจุบันมันมีข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตเยอะมากที่เขาอาจจะไปลองแล้วกลายเป็นผลเสีย เช่น เรื่องของ Ketogenic Diet เรื่องของกิน low carb high fat กินเนื้อสัตว์อย่างเดียวไม่กินผัก หรือกินผักอย่างเดียวไม่กินเนื้อสัตว์ กินผลไม้อย่างเดียว ทุกแนวทางการไดเอตมีเยอะมาก แนวทางการไดเอตทุกอย่างบนโลกมีคนทำมาแล้วทั้งนั้น มีทั้งคนประสบความสำเร็จ และไม่ประสบความสำเร็จ แต่แนวทางเบสิกที่คุณต้องทำให้ได้ก่อนจะไปถึงพวกนั้นมันมีอยู่ อย่างการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ กินโปรตีนให้สูงขึ้น กินผักหลากหลายสี กินให้ช้าลง เป็นเรื่องเบสิกง่ายๆ ที่เราฟังแล้วเราไม่ตื่นเต้น เราไม่ทำ แล้วไปข้ามขั้นซึ่งมันพัง
มีคนข้ามขั้นแล้วพังมาหาเราไหม
เยอะค่ะ แล้วก็เป็นคนที่เทรนเนอร์จับให้ทำด้วย เพราะบ้านเราเทรนเนอร์ยังไม่ได้กำหนดเป็นวิชาชีพว่าจะต้องมีใบรับรองวิชาชีพถึงจะทำได้ เล่นเอง ออกกำลังกายเองหุ่นดีหน่อยเป็นเทรนเนอร์ได้แล้ว ความรู้ nutrition ไม่มี ไม่ได้รู้ลึกว่าเขาเป็นยังไง เหมาะสมกับแบบไหน ก็จะมีอันตราย อย่างมีคนมาปรึกษาพี่ว่าประจำเดือนไม่มาหลายเดือนมากแล้ว มาผิดปกติ นอนไม่หลับ ปวดหลัง ถามไปถามมาปรากฎว่าเขาทำตามคำแนะนำของเทรนเนอร์คนก่อนที่บอกให้กิน low carb กินโปรตีนสูง ออกกำลังกายหนัก ไม่มีคนที่เรียนมาทางศาสตร์นี้ที่รู้ว่าการออกกำลังกายหนักแล้วมา low carb เนี่ย มันจะพัง เวลาพังคือระบบร่างกายพัง ระบบฮอร์โมนทำงานไม่ปกติ นอนไม่หลับเพราะพลังงานมันไม่พอ แล้ววิธีการทำกลับมามันยาก กว่าจะปรับตั้งแต่ทัศนคติให้เขาก่อนว่ากินคาร์บไม่เป็นไร คาร์บไม่ใช่ตัวร้าย แล้วจัดเรื่องสารอาหารให้เพียงพอใหม่
ตอนนี้รู้แล้วว่าควรกินอะไร ไม่ควรกินอะไร เพื่อไม่ให้ทุกคนข้ามขั้น ช่วยแนะนำพื้นฐานการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันด้วยการออกกำลังกายหน่อย
ถ้าตาม recommendation ขององค์การอนามัยโลกเลย เราจะแบ่งการออกกำลังกายเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน กลุ่มที่เป็นเรื่องของหัวใจและปอดเลยเป็น cardiovascular หัวใจและปอด เพราะฉะนั้นเราควรจะมีอะไรที่เล่นแล้วหัวใจปั๊มเต้นเร็ว วิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยานประมาณ 150 นาทีต่อสัปดาห์ เป็น minimum เลยที่เราจะสุขภาพดีได้ คนทั่วไปควรทำ โดยที่เราจะแบ่งยังไงก็ได้วันละ 30 นาที 5 วัน หรือจะแบ่งเช้า 15 เย็น 15 นาที รวมยังไงก็ได้ให้ได้ 150 กลุ่มที่สองคือ weight training หรือใช้แรงต้านจากอุปกรณ์ภายนอกไม่ว่าจะเป็น dumbbell barbell machine ต่างๆ หรือจะใช้ตัวเรา push up ใช้เป็นแรงต้าน เล่นประมาณ 2 วันต่อสัปดาห์เป็นขั้นต่ำ กลุ่มที่สามเป็นกลุ่มยืดเหยียด เช่น โยคะ ซึ่งเราควรทำ อันนี้แนะนำเลยว่าเราควรทำทุกวัน สามกลุ่มนี้เราควรทำสลับกันไปเลยทุกวันใน 1 สัปดาห์ นี่คือเบื้องต้นการดูแลสุขภาพด้านออกกำลังกาย