ยอดผู้ติดเชื้อโควิด19 ที่เพิ่มขึ้นระดับหลักร้อยคนในแต่ละวัน และมีจำนวนสะสมทะลุหลักพันรายในประเทศไทย (จนถึงตอนนี้) สถานการณ์ที่เรียกได้ว่า ‘วิกฤติ’ ทำให้รัฐบาลต้องประกาศใช้ พรก.สถานการณ์ฉุกเฉิน ส่งผลถึงร้านอาหารและห้างสรรพสินค้าเปิดขายได้เฉพาะโซนอาหารและยา และต้องซื้อกลับไปรับประทานเท่านั้น
ขณะที่วิกฤติยังคุกรุ่น ตามท้องถนนยังมีหนึ่งอาชีพเคลื่อนไหว พวกเขาอยู่ในยูนิฟอร์มหลากสีสัน แต่ทุกคนล้วนมีต้นทางและปลายทางไม่แตกต่างกัน คือ ไปที่ร้านอาหารแล้วซื้อของไปส่งให้ลูกค้า
ถึงภาวะแบบนี้ที่ใครๆ ก็ต้องเก็บเนื้อเก็บตัว จะช่วยเพิ่มยอดสั่งซื้อและรายได้ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกระยะทางที่ล้อรถของพวกเขาหมุนไป คือความเสี่ยงภัยจากเชื้อโรคร้ายทั้งสิ้น
อจลวิชญ์ อินทะญาติ หรือพี่โต่งในวัย 47 ปี พนักงานขับรถทัวร์จีนนำเที่ยวที่ถูกพักงานได้ 2 เดือน หลังสถานการณ์โควิดระบาดเล่าถึงสถานการณ์ที่เขาต้องเผชิญในช่วงเวลานี้
เสื้อผ้าผมยังอยู่บนรถทัวร์อยู่เลย ไม่รู้จะกลับมาเปิดได้เมื่อไร ยังไม่มีกำหนด ตอนนี้ก็ขับแกรบมาได้สองเดือน ช่วยตัวเองได้ส่วนหนึ่งไม่ต้องรอให้คนอื่นเขามาช่วย อย่างผมก็มีค่าบ้านที่ต้องผ่อนจ่าย ก็กำลังไปผ่อนผันกับรัฐอยู่
คนใช้บริการเยอะขึ้นนะ ออเดอร์ช่วงนี้เยอะ แต่ก็เลือกปลอดภัยไว้ก่อน ผมวิ่งบ้างไม่วิ่งบ้าง พยายามอยู่บ้านให้เยอะ ออกมาทำงานให้น้อยที่สุด อย่างเมื่อวานผมก็หยุดอยู่บ้านกับครอบครัว แล้ววันนี้ก็มาทำงาน เพราะเจียดเวลาไปดูแลครอบครัวด้วย วันหนึ่งได้สามสี่ร้อยผมก็พอ ผมจะไม่อยู่นาน ไม่ได้ทำเต็มวันเหมือนเมื่อก่อน ยิ่งอยู่นานคนก็ยิ่งออเดอร์มาเยอะ อย่างข้างในห้างฯ คนเดินผ่านไปผ่านมาเยอะ เราก็ป้องกันตัวเองมาอยู่ที่โล่งๆ มีออเดอร์แล้วค่อยเข้าไปเอา จะไม่ไปเกาะกลุ่มกัน
พอเห็นยอดคนติดเชื้อเยอะขึ้นเรื่อยๆ มันรุนแรงขึ้นผมก็เอาแค่สามร้อยบาทแล้วกลับเลย แค่ได้ค่ากินค่าน้ำมัน เพื่อป้องกันตัวเองแล้วลดความเสี่ยงให้กับคนอื่นด้วย… เอาแค่ครอบครัวผมอยู่ได้และปลอดภัย
ออเดอร์นี่ 8 โมงเช้าก็มีคนสั่งให้ไปซื้อกาแฟแล้วนะ แต่เราเลือกไม่รับเพราะว่าเราต้องกินข้าวที่บ้านก่อน ไม่ได้ไปกินข้างนอกเลย จะเริ่มรับงานจริงๆ ตอนสิบโมงเช้า พอ 5 โมงเย็นได้สี่ห้าร้อยก็เข้าบ้าน แค่ได้ค่ากินค่าน้ำมัน เพราะช่วงนี้น้ำมันถูก อาทิตย์ก่อนผมตั้งเป้าวันละห้าร้อยบาท แต่พอเห็นยอดคนติดเชื้อเยอะขึ้นเรื่อยๆ มันรุนแรงขึ้นผมก็เอาแค่สามร้อยบาทแล้วกลับเลย เพื่อป้องกันตัวเองแล้วลดความเสี่ยงให้กับคนอื่นด้วย เพราะผมมีครอบครัวรออยู่ที่บ้าน 4 คนที่ต้องดูแล ไปถึงบ้านก็ชำระล้างร่างกาย อาบน้ำอาบท่า แต่คนอื่นเราก็ไม่รู้เนอะ การหารายได้มันแตกต่างกัน ผมเอาแค่ครอบครัวผมอยู่ได้และปลอดภัย เราก็ดูแลตัวเองส่วนหนึ่งแล้วก็ให้ประโยชน์กับคนอื่นส่วนหนึ่ง
อีกมุมบางคนเขาก็อยากจะสั่งบ้างแต่เขาไม่มีตังค์ อย่างค่าส่งสี่ห้าสิบบาท ถ้ามีเงินอยู่ร้อยหนึ่งเขาก็สั่งไม่ได้ บางทีถ้าเป็นร้านทั่วไป ร้านอาหารตามสั่ง ร้านของชำถ้าผูกกับแกรบได้ก็ดีเราจะได้ช่วยเขาอีกทางหนึ่ง… คนไม่มีตังค์สั่งสุดท้ายเขาก็เสี่ยงเดินออกจากบ้านมาอยู่ดี
ลึกๆ ผมก็กลัวนะ ไม่รู้ว่าเราจะไปติดโรคตอนไหน ไปส่งอาหารให้ลูกค้า อย่างลูกค้าอยู่บ้านเราก็ไม่รู้ว่าเขาโดนกักตัว หรือแค่อยู่บ้านเพราะไม่กล้าออกมาซื้อของ อันนี้เราก็คิดเอาเอง อย่างแกรบเขาก็มีมาตรการให้เว้นระยะตอนส่งของ ไม่ให้สัมผัสกัน ให้แขวนอาหารไว้หน้าบ้าน ถ้าอากาศมันร้อนแล้วเราต้องแขวนถุงไว้ก็โทรบอกลูกค้าว่าของมาถึงแล้วนะ หรือเข้าไปบางหมู่บ้านต้องมีปั๊มตราเข้าหมู่บ้าน ส่วนใหญ่ก็ส่งตามหมู่บ้านใหญ่ๆ ก็ฝากไว้ป้อมยามแล้วให้เขามารับก็มี มันก็ลดความเสี่ยงไปได้ระดับหนึ่ง ทั้งเขาและเรา เพราะเราก็ไม่รู้ว่าเรามีเชื้อหรือไปติดใครมาตอนไหนไหม
ลูกค้าก็เข้าใจและให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี บางทีเขายังกลัวเราเลย ไม่อยากให้เข้าใกล้ แม้แต่สแตมป์บัตรเขายังไม่อยากให้เรา ฮ่าๆๆ เพราะไม่อยากสัมผัสอะไรเลย แต่ถ้าไม่ให้ รปภ.ก็ไม่ให้เราออกจากหมู่บ้านอีก ช่วงนี้เลยต่างคนต่างเซฟ เราพยายามป้องกันให้ดีที่สุด วันนึงล้างมือไม่รู้กี่รอบ แต่เชื้อโรคเรามองไม่เห็นไง อย่างโทรศัพท์เราก็เช็ดบ่อย เพราะบางทีลูกค้าสั่งอาหารแล้วเราไม่รู้เรื่องอาหารนั้นก็ต้องยื่นโทรศัพท์เราให้เจ้าของร้านคุยกับลูกค้าเอง มันก็มีหลายเหตุการณ์ที่เราก็เสี่ยง แต่ก็รับผิดชอบสังคมด้วยการป้องกันลดความเสี่ยงเอานี่แหละ เจอเจลล้างมือที่ไหนก็ล้างตลอด อย่างหน้าป้อมยามมีก็ล้างเลย เจอที่ไหนล้างเลย ไม่รู้ว่าที่ทำอยู่มันได้มาตรฐานหรือช่วยได้แค่ไหนแต่เราก็ทำเต็มที่ ใจจริงผมอยากจะกลับบ้านที่สุโขทัยนะ แต่กลัวว่ามันจะไปเสี่ยงกับพ่อแม่ พ่อแม่เราเขาก็ไม่ว่าถ้าเราจะกลับไป แต่เราก็กลัวไง
พวกผมไม่ใช่ฮีโร่อย่างที่บางคนเขามองนะ ตอนนี้เราก็ช่วยกันทุกคน อีกมุมบางคนเขาก็อยากจะกิน อยากจะสั่งบ้างแต่เขาไม่มีตังค์จะสั่งมันก็มี คนที่จะสั่งอาหารเดลิเวอรีได้ก็เป็นกลุ่มคนอีกระดับหนึ่ง อย่างค่าส่งสี่ห้าสิบบาท ถ้ามีเงินอยู่ร้อยหนึ่งเขาอยากจะกิน เขาก็สั่งไม่ได้ บางทีถ้าเป็นร้านทั่วไปร้านอาหารตามสั่ง ร้านของชำถ้าผูกกับแกรบได้ก็ดีเราจะได้ช่วยเขาอีกทางหนึ่ง คนไม่มีตังค์สั่งสุดท้ายเขาก็เสี่ยงเดินออกจากบ้านมาอยู่ดี คนที่ใช้บริการเลยจะเป็นคนที่มีฐานะปานกลางขึ้นไป อย่างผมยังกลับเข้าไปกินข้าวที่บ้านเลย
หนุ่มลำปางวัย 45 ปี สุวิทย์ บรรพมัย อีกหนึ่งพนักงานขับรถทัวร์จีนที่สู้กับวิกฤตปากท้อง ด้วยการรับหน้าที่เป็นฟู้ดเดลิเวอรีแมน
บริษัทก็ยังจ่ายเงินเดือนให้นะจากแรกๆ 70 เปอร์เซ็นต์ ตอนนี้จะเหลือ 50 เปอร์เซ็นต์แล้ว คือทัวร์ก็ปิดไปแบบไม่มีกำหนด อีกอย่างหนึ่งผมกลัวว่าถ้าเขาสั่งปิดเมืองขึ้นมา ถ้าไม่ให้ออกจากบ้านเลย ก็กลัวว่าจะไม่มีรายได้จ่ายค่าเช่าบ้านเดือนละ 3,000 บาท ระหว่างรอรถทัวร์กลับมาเปิดอีกครั้ง พอดีมีเพื่อนมาลองขับแล้วเขาบอกว่ารายได้มันพออยู่ได้นะ เลยมาขับแกรบก่อน เพราะเราไม่รู้เลยว่าเมื่อไรบริษัทจะกลับมาเปิดได้
ช่วงหลังๆ ที่โควิดระบาดหนัก ผมสังเกตว่าออเดอร์มันเยอะก็จริงนะ แต่คนที่ตกงานก็มาขับแกรบกันเยอะมากๆ มันเลยมีส่วนที่ว่าออเดอร์เยอะแต่ก็กระจายกันรับงาน ไม่ได้รู้สึกว่างานแน่นขนาดนั้น อย่างผมก็เริ่มรับออเดอร์ตั้งแต่แปดเก้าโมง เลิกสองสามทุ่ม
ผมก็กังวลกับสถานการณ์นะ กลัวจะร้ายแรงมากกว่านี้ แต่กังวลยิ่งกว่าโรคคือค่าอยู่ค่ากินนี่แหละ … ตอนนี้ก็สู้กันต่อไปก่อน
ที่คนเขามองว่าเราเป็นฮีโร่เพราะไปรับส่งอาหาร เสี่ยงโรคแทนเขา แต่ในมุมผมมันเป็นอาชีพไง ไม่ใช่ฮีโร่ เราทำอาชีพ เงินมาของไป เราทำเพื่อเงินนั่นแหละ เพียงแต่ทำแบบรับผิดชอบ เซฟตัวเอง ระวังตัวเองให้มากที่สุด เราเองก็กลัว ใครก็กลัวแหละไอ้โรคนี้ ไม่รู้ว่ามันจะมายังไงตอนไหน ใครจะมีโรคหรือไม่มี นั่งๆ อยู่ด้วยกันนี่มีโรคหรือเปล่า ไม่รู้
อย่างโรงพยาบาล ห้องฉุกเฉิน หมอพยาบาลเขาก็สั่งอาหารนะ มีน้องเล่าให้ฟังว่าโรงพยาบาลสิรินธร ชั้น 10 สั่งอาหารให้ไปส่งห้องกักกันตัว น้องคนนั้นเขาก็ขอยกเลิกเลยบอกผมขอไม่ไปนะ เขากลัวไง แต่ผมไปนะ ก็ป้องกันตัวเองใส่ผ้าปิดปาก ใส่ถุงมือยางแบบแพทย์เขาใส่กัน ขึ้นลิฟต์ก็ไม่ค่อยกด ให้คนอื่นเขากด ก็พยายามป้องกันเต็มที่ แมสนี่ใส่ตลอดไม่ถอดเลย ล้างมือบ่อยๆ ตอนส่งของเราก็เว้นระยะห่าง หรือแม้แต่ร้านอาหารที่เขาเอาอาหารให้เรานี่ก็เว้นระยะห่างให้นั่งรอหมดนะ ลูกค้าส่วนใหญ่ก็เป็นหมู่บ้านจัดสรร ชนชั้นกลางขึ้นไป เขาก็ให้ความร่วมมือดีแล้วก็ค่อนข้างระวังตัวเองอยู่แล้วด้วย เรื่องอาหารเขาก็มั่นใจเราอยู่แล้ว เพราะปกติระยะที่ส่งจะไม่เกินสิบกิโลฯ จากร้านไปบ้าน อาหารก็ไปร้อนๆ เลย
มันเสี่ยงแหละ แต่เรายังต้องแบกรับค่าเช่าบ้าน ส่งรถส่งราอีก เจ้าของบ้านเขาก็ไม่ได้ลดค่าเช่าให้ไง จะกลับบ้านที่ลำปางก็ไม่มีงานอะไรให้ทำ อยู่นี่ทำอะไรได้ก็ทำไปก่อน เนี่ย ดูสิ นักท่องเที่ยวต่างชาติยิ่งแล้วใหญ่ เขาเดินๆ อยู่นี่ไม่ใส่แมสกันเลย… ผมก็กังวลกับสถานการณ์นะ กลัวจะร้ายแรงมากกว่านี้ แต่กังวลยิ่งกว่าโรคคือค่าอยู่ค่ากินนี่แหละ ถ้าวันหนึ่งมันร้ายแรงยิ่งกว่านี้ ผมก็จะขอเขากลับบ้าน ถึงเขาไม่ให้กลับก็เถอะ จะอยู่ยังไง ค่าเช่าบ้าน ค่ากินอีก เว้นแต่ว่าเขามีมาตรการรองรับเรื่องค่าอยู่ค่ากิน ตอนนี้ก็สู้กันต่อไปก่อน
วีรยุทธ จิ๊งะ พนักงานช่างเทคนิคไฟฟ้า วัย 39 ปี ที่เห็นช่องทางหารายได้เสริมด้วยการขับรถส่งของและอาหาร
ขับมาได้เกือบสามเดือนครับ ตอนนี้ก็ทำงานเป็นช่างเทคนิคอยู่บริษัทแห่งหนึ่ง แต่มาขับรถส่งของเป็นอาชีพเสริม ผมมีลูก 3 คนที่ต้องดูแล รายได้ที่เพิ่มมาตรงนี้มันก็ช่วยได้เยอะ อย่างทำงานประจำเลิกงาน 5 โมงครึ่ง ก็ให้เวลากับครอบครัวก่อน ผมจะไม่ละเลยครอบครัว แล้วค่อยมาเริ่มวิ่งงานตอน 6 โมงครึ่ง วันหนึ่งก็รับแค่สามสี่งาน ไม่ได้เอาเยอะ แต่ออเดอร์มันเยอะขึ้นนะครับตั้งแต่มีโควิดเนี่ย เพียงแต่ผมเลือกรับเท่านี้พอ
เราก็ระวังตัวเองมากขึ้นเยอะ อย่างลาล่ามูฟ ก็มีมาตรการออกมาว่าเวลาไปส่งของหรือรับของจากลูกค้ามาส่ง ให้อยู่ห่างกันสองเมตร ถ้าต้องรับเงินก็จะบอกให้ลูกค้าเตรียมเงินใส่ซองไว้ให้ หรือเน้นให้โอนเงินเอาครับ ส่งเสร็จก็ล้างมือทำความสะอาดทุกครั้ง บางทีลูกค้าก็เตรียมตระกร้าให้ใส่ของวางไว้เลย เขาก็จะบอกเราว่าขอโทษนะ แล้วเขาค่อยโอนเงินให้ ซึ่งเราไม่ได้ว่าอะไรเลย เพราะเราเข้าใจเรื่องที่ว่าวางของไว้ในตระกร้า อย่างเราก็เซฟตัวเราด้วย ล้างมือบ่อยๆ ใส่ผ้าปิดปากตลอด มีแอลกอฮอล์เจลติดไว้ที่รถเลยไม่ว่าจะไปไหน เข้าออกห้างฯ ก็ล้างตลอด ชั่วโมงสองชั่วโมงก็แวะล้างหน้าล้างตาทำความสะอาด
ลึกๆ เรากลัวนะ แต่ไม่ถึงกับจิตตก ก็ใช้ชีวิตปกติแต่ระมัดระวังให้มากขึ้น เรายินดีกับคำพูดที่ว่าเราคือฮีโร่นะ แต่จริงๆ สำหรับตัวผมเองแล้วผมก็ทำตามหน้าที่ที่ผมไปรับมาแค่นั้นเอง ไม่ได้มีอะไรมาก มองว่ามันเป็นอาชีพหาเลี้ยงปากท้องมากกว่าครับ
พูริช พู่ธนาสรณ์ อดีต Sound Engineer ที่ถูกเลย์ออฟมาได้ร่วมปี ยึดอาชีพฟรีแลนซ์ แต่งานวิ่งรับส่งอาหารกลับกลายเป็นรายได้หลักในช่วงสถานการณ์โควิด
เดิมเราเป็นซาวด์เอนจิเนีย์แล้วโดนเลย์ออฟออกมา ก็มารับงานฟรีแลนซ์ แต่งานเสียงมันไม่ได้มีเยอะเหมือนเมื่อก่อน ยิ่งโควิดมาก็ยิ่งไปกันใหญ่ เลยมาวิ่งส่งอาหารบ้าง จริงๆ เพิ่งเริ่มทำเมื่อช่วงต้นปี ก่อนที่โควิดจะเข้ามาสักพัก หลังโควิดเข้ามานี่คนใช้บริการเยอะเลย แม้แต่คนที่มาขับรถส่งของ อันนี้พูดถึงเจ้าอื่นๆ นะ ก็เข้ามาทำอาชีพนี้กันเยอะ ไม่แน่ใจว่าหมดโควิดคนส่งของจะล้นไหม เพราะคนตกงานกันเยอะก็มาขับเยอะ แต่อย่างของพี่รับงานจาก CP นอกจากส่งปกติแล้ว มันจะมีส่งกลุ่มลูกค้าโควิดด้วย งานโควิดเขาจะลงทะเบียนกับทางซีพีว่าเขาเป็นกลุ่มเสี่ยงนะ บริษัทก็จะเอารายชื่อไปเช็คกับกระทรวงสาธารณสุขว่าตรงไหม ถ้าตรงกันก็จะส่งให้ฟรีเลย 14 วัน
อีกมุมหนึ่งมันก็ดาร์กนะ เราไปส่งอาหารให้กลุ่มคนที่เฝ้าระวังหรือกักตัวอยู่ด้วย เจอกลุ่มที่ไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำเยอะมาก บางคนเดินออกมารับเองกับมือก็มี หรือถ้ากักตัวจริงๆ มันต้องอยู่ส่วนตัวไม่ได้มาอยู่บ้านร่วมกัน ถ้าคนไทยยังเป็นอย่างนี้กันอยู่ พี่ว่าควบคุมยากนะ อย่างย่านรามคำแหง ลาดพร้าวนี่เป็นร้อยแล้ว
ถามว่าไปส่งกลุ่มเสี่ยง กลุ่มกักกันตัวเอง พี่กลัวไหม เราตามข้อมูลอยู่เรื่อยๆ มันก็น่ากลัวแหละ แต่ไม่ได้ถึงกับต้องวิตก เราก็เซฟตัวเองประมาณหนึ่งเพราะไม่อยากให้มาติดคนที่บ้านเรา พอจะออกไปรับงานพี่ก็จะมีเสื้อคลุมตัวหนึ่งกับกางเกงข้างนอกอีกตัวหนึ่ง พอจบงานจะถอดวางไว้ ไม่เอาเข้าบ้าน วันไหนวิ่งเยอะก็เอาไปซักเลยวันต่อวัน กลับถึงบ้านก็อาบน้ำเลย ไม่นั่งแช่เลยละ หรือแม้แต่คนรับเองเขาก็เริ่มระวัง เพราะเขาก็แอบกลัวเราด้วยเหมือนกัน มาตรฐานการป้องกันก็คือเบสิกเลย ให้ทุกคนระวังตัวเอง ใส่หน้ากากทุกครั้ง งดการสัมผัส อย่าแตะต้องโดนตัว อย่าให้ไปโดนเขา ปกติเวลาส่งของก็จะมีให้เซ็นรับที่โทรศัพท์ แต่พี่ก็จะบอกเขาว่าขออนุญาตเซ็นรับเองนะครับ
อีกมุมหนึ่งมันก็ดาร์กนะ คือเราไปส่งอาหารให้กลุ่มคนที่เฝ้าระวังหรือกักตัวอยู่เนี่ย คนที่ปฏิบัติตัวเคร่งๆ เขาก็จะให้เราแขวนอาหารไว้หน้าบ้าน แต่บางคนคือยังใช้ชีวิตปกติ ปกติทุกอย่างเลย เดินออกมารับเองกับมือเลยก็มี เราก็ถามว่าเอ้า พี่ลงทะเบียนไว้ใช่ไหมครับ เขาก็ตอบเฉยๆ ว่าใช่ค่ะ แต่เราเองนี่พกสเปรย์แอลกอฮอล์เอาไว้ตลอด ก็ฉีดฆ่าเชื้อหมดอ่ะ ส่งเสร็จฉีด ส่งเสร็จฉีด อย่างงานส่งอาหารให้กลุ่มกักตัวโควิดนี่มีทุกวันเลยนะ วิ่งบ่อยๆ ก็ลาดพร้าว รามคำแหง
เราเจอกลุ่มกักตัวที่ไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำเยอะมากนะ บางครั้งก็ต้องทำท่าทางให้เขารู้ว่าเราไม่โอเคนะ ให้เขารู้สึกนิดๆ หน่อยๆ ไม่ถึงกับไม่สุภาพ เช่นถามว่า เอ้า พี่จะเซ็นเองเลยเหรอครับ เขาก็จะเริ่มรู้ตัวแล้วบอกโอเคๆ งั้นน้องเซ็นให้เลยก็ได้ หรืออย่างกักตัวอยู่ ถึงจะให้คนในบ้านออกมารับอาหารให้ แต่เราก็เห็นๆ อยู่ว่าเขาอยู่ด้วยกัน คือถ้ากักตัวจริงๆ มันต้องอยู่ส่วนตัวเลย ไม่ได้มาอยู่บ้านร่วมกัน
ถ้าคนไทยยังเป็นอย่างนี้กันอยู่พี่ก็คิดว่าควบคุมยากนะ อย่างย่านรามคำแหง ลาดพร้าวนี่เป็นร้อยแล้ว มีวันนึงพี่รับงานไปส่งกลุ่มเฝ้าระวังเป็นสิบบ้าน แปลกที่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนมีตังค์ด้วยนะ ที่ไปส่งนี่บ้านหรูๆ หมู่บ้านใหญ่ๆ แพงๆ ทั้งนั้นเลย บ้านทั่วๆ ไปนี่นับหลังได้ไม่ถึง 5 ครั้ง
โควิดมันทำรายได้เราหายไปบางส่วน อย่างที่พี่วิ่งเป็นแอปเดลิเวอรี รับทั้งของซีพีแล้วก็ลอว์สัน ตอนนี้รายได้จากลอว์สันหายไป เพราะเมื่อก่อนเรารับงานวิ่งส่งสินค้า กระจายสินค้าไปตามร้านลอว์สันที่อยู่บนสถานนีรถไฟ้า สถานีต่างๆ ด้วย แต่ตอนนี้งานจากลอว์สันหยุดไปหมด ก็จะมีส่งอาหาร ส่งของตามบ้าน ตามบริษัทนี่แหละเป็นรายได้ที่เข้ามา
สถานการณ์แบบนี้เราไม่ได้รู้สึกว่าเราเป็นฮีโร่ ไปเสี่ยงโรครับของมาให้เขานะ เพราะมันคือวิถีชีวิตปกติ คนที่วิ่งงานอยู่แล้วจากที่เราคุยๆ เขาก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใหม่อะไร ถือว่าช่วงนี้เป็นช่วงกอบโกยของเขาด้วยซ้ำ หรือบางคนที่มาวิ่งงานก็เพราะเขาเลือกไม่ได้ เขาตกงานไง
ภาพโดย ปริญญา ชาวสมุน