จากที่น้ำหนักตัวพุ่งไปสูงถึง 140 กิโลกรัม พร้อมโรคประจำตัวที่ตามมาราวกับขบวนขันหมาก จนคนรอบข้างอ้อนวอนว่า “ลดเถอะขอร้อง ไม่อยากให้มึงตาย” แต่อะไรก็ไม่ใช่แรงผลักดันที่ทรงอิทธิพลเท่ากับการสัมผัสได้อย่างดีว่าระบบต่างๆ ในร่างกายพร้อมจะหยุดทำงานได้ทุกเมื่อ หลังจากนั้นจึงใช้เวลาเกือบสองปีเพื่อลดน้ำหนักลงมาจนปัจจุบันหายไปแล้วครึ่งหนึ่งของทั้งหมด และสามารถเลือกซื้อเสื้อผ้าตามห้างสรรพสินค้าได้อย่างปกติแล้ว
หลายคนสอบถามผู้เขียนว่ามีวิธีลดน้ำหนักอย่างไร ก็มีชุดคำตอบแบบมาตรฐานว่า คุมอาหารกับออกกำลังกายน่ะสิ ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่ไหนๆ แล้วก็ขอใช้พื้นที่ตรงนี้ถ่ายทอดเพิ่มเติมว่า แรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้ผู้เขียนมีวินัยเคร่งครัดคือบทเรียนจากเหล่า ‘ดาราฮอลลีวูด’ นี่เอง
“คิดซะว่า แมทธิว แมคคอนาเฮย์ ยังทำได้เลย” มิตรสหายนักทำหนังท่านหนึ่งให้กำลังใจในวันที่ทดท้อ ซึ่งนั่นคือคำพูดที่ผู้เขียนคิดอยู่ตลอดเวลาในกระบวนการลดความอ้วน พร้อมกูเกิ้ลดูตารางการกินของดาราสาย method เหล่านี้ ที่ยอมลดความอ้วนเพื่อการสวมบทบาทอย่างสมจริง จะหนักแค่ไหน ไปดูสิ่งที่พวกเขากินกันเลย
*หมายเหตุ: โปรแกรมการลดน้ำหนักเร่งด่วนของแต่ละคนอันตรายมาก ต้องอยู่ในการดูแลอย่างเคร่งครัดของแพทย์และนักโภชนาการ ห้ามลอกเลียนแบบเป็นอันขาด
คริสเตียน เบล
เมื่อนึกถึงดาราที่เชี่ยวชาญในการปั้นหุ่นตัวเองให้เหมาะกับบทที่ได้รับ ชื่อแรกที่ต้องเอ่ยถึงคือ คริสเตียน เบล ที่ผ่านมาแล้วทั้งหุ่นล่ำบึ้กในบทแบทแมน, ลดลงจนเป็นขี้ก้างและได้ออสการ์ไปครองในหนัง The Fighter กระทั่งการขุนตัวเองจนลงพุงในหนัง American Hustle แต่คงไม่มีครั้งไหนที่เข้าขั้น ‘บ้าไปแล้ว’ เท่าตอนที่เขารับบท เทรเวอร์ เรซนิก ในหนัง The Machinist ของ แบรด แอนเดอร์สัน
เทรเวอร์คือตัวละครหนุ่มโรงงานที่เข้าขั้นหลอนจากโรคนอนไม่หลับ เพื่อรับบทนี้ เบลตัดสินใจลดน้ำหนักจาก 79 กิโลกรัม ให้เหลือแค่ 50 กิโลกรัม จนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ซึ่งเขาใช้เวลาลด 29 กิโลกรัมนี้แค่ 4 เดือนเท่านั้น โดยในช่วงนั้นสิ่งที่เขากินในหนึ่งวันคือ ทูน่าในน้ำแร่ 1 กระป๋อง กับ แอปเปิ้ล 1 ผล และหล่อเลี้ยงความหิวไว้ด้วยกาแฟดำกับน้ำเปล่าเท่านั้น เบ็ดเสร็จแล้วเขาได้รับพลังงานไม่เกิน 260 แคลอรีต่อวัน ควบคู่กับการคาร์ดิโออย่างหนักเพื่อรีดน้ำหนักลงอย่างรวดเร็ว
แต่ช้าก่อน! ใครคิดจะดำเนินรอยตามเบลละก็ โปรดคำนึงไว้เสมอว่า สิ่งที่เขาทำนั้นเป็นอันตรายอย่างมาก กระบวนการลดน้ำหนักครั้งนั้นจึงอยู่ในการดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์ เขาได้รับอาหารเสริมจำพวกวิตามินกินควบคู่กันไป และมีระยะเวลาการอยู่ในโปรแกรมแค่สี่เดือนเท่านั้น ก่อนจะกลับมาขุนน้ำหนักตัวเองใหม่เพื่อไปรับบทแบทแมนใน Batman Begins ต่อไป
แมทธิว แมคคอนาเฮย์
ความเซ็กซี่ของเขาการันตีด้วยตำแหน่ง ‘ชายเซ็กซี่ที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่’ ของนิตยสาร People เมื่อปี 2005 ด้วยหุ่นเป๊ะ หน้าคม ผมบลอนด์ ผิวแทน ราวกับเจ้าชายดิสนีย์ จึงไม่แปลกใจที่แมคคอนาเฮย์จะขวนขวายหาบทบาทที่ท้าทายอยู่เสมอ เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ได้มีดีแค่รูปร่างหน้าตา จนมาบรรจบกับบท รอน วูดรูฟ ในหนัง Dallas Buyers Club ของ ฌ็อง มาร์ก วัลเล ที่เขาสร้างความตกตะลึงด้วยโฉมอันห่างไกลจากคำว่า ‘เซ็กซี่’ นัก และคว้าออสการ์จากบทนี้ไปในที่สุด
วูดรูฟในหนัง Dallas Buyers Club คือชายหนุ่มผู้ติดเชื้อ HIV และพยายามต่อสู้เพื่อการเข้าถึงการรักษาในช่วงปี 1985 เพื่อให้คนดูเข้าใจในทันทีว่าวูดรูฟป่วยจริง แมคอนาเฮย์เลยตัดสินใจแสดงให้เห็นตั้งแต่กายภาพ ด้วยการลดน้ำหนักลงถึง 40 ปอนด์ (ประมาณ 18 กิโลกรัม) ก่อนที่เมื่อถึงเวลาถ่ายทำจริงแล้วเขาคิดว่ายังดูป่วยไม่พอ เลยลดลงอีก 10 ปอนด์ เบ็ดเสร็จแล้วเขาลดลง 50 ปอนด์ หรือประมาณ 22.7 กิโลกรัม ภายใน 4 เดือน
ในขณะที่เบลมีตารางการกินชัดเจน แมคคอนาเฮย์กลับทำตรงกันข้าม เพราะเขาให้สัมภาษณ์แต่ละที่ไม่เหมือนกันเลย เช่น ในหนึ่งวันกินแค่ไข่ขาว 2 ฟอง ไก่หนึ่งชิ้น และไดเอ็ทโค้ก 2 กระป๋อง บางทีก็บอกว่ากินมันสำปะหลังบดตอนเช้า 2 ช้อน หรือแม้กระทั่งว่า ตลอดวันกินปลาให้ได้ประมาณ 5 ออนซ์ และผัก 1 ถ้วย พอนักข่าวถามว่าดื่มไวน์มั้ย ก็ตอบทันควันว่า “ดื่ม” อะไรของเขาก็ไม่รู้ แต่สิ่งหนึ่งที่พอจะจับใจความได้คือ แมคคอนาเฮย์ตั้งเป้าไว้ว่าจะลดให้ได้สัปดาห์ละ 4 ปอนด์ เขาจึงต้องหาวิธีไปเรื่อยๆ ตลอด 4 เดือนนั้น และมีการเปลี่ยนแผนอยู่ตลอดเวลา ทั้งการกินและการออกกำลังกาย “แรกๆ ผมออกกำลังกายอย่างหนักเพื่อเผาผลาญ 1,800 แคลอรีต่อวัน ผมทำแบบเดิมอยู่สองสัปดาห์จนร่างกายบอบช้ำ เลยทดลองด้วยการหยุดออกกำลังกายไปเลย แต่ยังคงตารางการกินแบบเดิมไว้ มันก็ลดได้ตามที่ต้องการ หลังจากนั้นเลยมีการปรับแผนอยู่ตลอดเวลา”
แมคคอนาเฮย์บอกว่า ในช่วงแรกๆ ของการเข้าโปรแกรมลดน้ำหนักนี้เป็นช่วงทรมานของชีวิต จนมีความคิดว่าทำไมแต่ละวันมันช่างยาวนานนัก และต้องอาศัยเคี้ยวน้ำแข็งประทังชีวิตระหว่างวันไปทุกวัน กระนั้นสิ่งที่แมคคอนาเฮย์ทำนอกจากจะส่งให้เขาคว้าออสการ์มาได้แล้ว ยังแสดงให้เห็นด้วยว่าที่จริงแล้วการควบคุมน้ำหนักให้เป็นไปตามความต้องการอาจไม่จำเป็นต้องมีตารางการกินที่ชัดเจน แต่ต้องควบคู่กับการจับสังเกตร่างกายตัวเองไปด้วย
มิคาเอล ฟาสส์เบนเดอร์
ทุกวันนี้เรามีโอกาสเห็น มิคาเอล ฟาสส์เบนเดอร์ ในบทที่เล่นกับ CG บ่อยเสียจนลืมกันไปแล้วว่า หนังที่สร้างชื่อให้เขา คือ Hunger ของ สตีฟ แม็กควีน ซึ่งฟาสส์เบนเดอร์รับบท บ็อบบี แซนด์ส นักโทษผู้ถูกทิ้งให้ขาดอาหารจนตายในคุก ความมหัศจรรย์คือการที่เราได้เห็นเขาล่ำบึ้กในตอนต้นเรื่อง ก่อนจะผ่ายผอมแบบหนังหุ้มกระดูกในตอนหลัง ซึ่งทั้งหมดนั้นฟาสส์เบนเดอร์ใช้เวลาเพียง 10 สัปดาห์ในการลดน้ำหนักลง 16 กิโลกรัม โดยใน 10 สัปดาห์นั้นเขาอยู่ในการดูแลของแพทย์อีกทั้งได้รับตารางการกินจากนักโภชนาการ และต้องทำตามนั้นอย่างเคร่งครัด ไม่โกง!
แผนคือเขาต้องกินอาหารในแต่ละวันเพียง 900-1,000 แคลอรี เท่านั้น ไม่มากหรือน้อยไปกว่านี้ เพื่อไม่ให้ร่างกายโหยหาอาหารจนเกินไปนัก เขาทำอย่างนี้อยู่ 6 สัปดาห์ ควบคู่กับการเดินทอดน่องแถวบ้านทุกวัน หลังจากนั้น 4 สัปดาห์ที่เหลือ นักโภชนาการลดปริมาณพลังงานที่ได้รับจากการกินต่อวันเหลือเพียง 600 แคลอรี เป็นการเตรียมพร้อมสู่การเป็นคนขาดสารอาหารอย่างเต็มตัวก่อนกลับไปเข้าฉาก Hunger
และด้วยเวลาที่จำกัด (เพราะต้องพักการถ่ายทำในส่วนของเขาก่อน) ภายใต้ตารางการทำงานของกองถ่ายที่ชัดเจน ฟาสส์เบนเดอร์จึงถูกเรียกร้องความมีวินัยจากคนทั้งกอง และต่อไปนี้คือสิ่งที่เขากินตลอด 10 สัปดาห์นั้น … มื้อเช้า ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่กับถั่ว จากนั้นข้ามไปมื้อเย็นกับปลาซาร์ดีนกับขนมปัง 1 แผ่น – หมดโควต้า!
ทั้งมวลที่ยกตัวอย่างมาคือการหักโหมคุมอาหารเพื่อการแสดง ซึ่งพวกเขาล้วนได้รับการดูแลอย่างดีจากระบบอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในโลกเจริญแล้ว ที่คำนึงถึงสวัสดิภาพของคนทำหนังทุกตำแหน่ง หากคุณไม่ได้อยู่ในอุตสาหกรรมดังกล่าว เราไม่แนะนำให้ทำตามอย่างเด็ดขาด เพราะร่างกายของคนเรานั้นเซนซิทีฟเกินจะเล่นกับมัน