เห็ดหูหนู ดอกสีน้ำตาลปนดำ หรือสีน้ำตาลปนแดง มีรอยหยักเป็นคลื่นรอบดอก ใต้ดอกมีขนละเอียดคล้ายกำมะหยี่นุ่มนิ่ม ก้านดอกสั้นติดกับกลีบดอก เนื้อนุ่ม รสหวาน แต่ก่อนเห็ดหูหนูมีแต่แบบแห้งเท่านั้น เพราะนำเข้าจากประเทศจีน เป็นเห็ดหูหนูลาย ดอกเล็ก นำมาแช่น้ำก็จะดูดน้ำ บานพอง เนื้อนุ่มจนแทบจะเป็นวุ้นทีเดียว เนื้อบางใส นุ่มมาก นี่คือเห็ดหูหนูที่นำเข้าจากประเทศจีน มาจากมณฑลหูเป่ย และส่านซี เป็นเห็ดหูหนูที่ขึ้นเองตามธรรมชาติบนขอนไม้ผุๆ หรือตามต้นไม้ที่อยู่ในป่าชื้น อากาศอบอ้าว เกิดในอุณหภูมิ 30 องศาเซลเซียส
บัดนี้ เห็ดหูหนูเพาะขึ้นได้เอง เป็นเห็ดหูหนูสด ดอกใหญ่ กลีบใหญ่ เนื้อแน่น กรอบ ใช้เวลาเพาะเพียงสั้นๆ เห็ดหูหนูก็โตเต็มวัยแล้ว ด้วยเหตุนี้ ราคาเห็ดหูหนูจึงไม่แพง
ราคาไม่ใช่ตัววัดคุณค่าอาหารของสรรพสิ่งในโลกนี้ ดังนี้ เห็ดหูหนูจึงมีคุณค่าทะลุราคาซื้อขาย ชนิดที่ยากจะประเมินได้ทีเดียว เรียกว่าเป็นอาหารที่ทรงพลังในการต้านโรค บำรุงร่างกาย และรักษาโรคอีกด้วย
ในยุคสังคมเมือง การค้าผูกขาด ชีวิตผู้คนสูญหายจ่อมจมไปกับระบบการเงิน ทำให้ทุกครัวเรือนต้องมีผู้เจ็บป่วย ไม่โรคใดก็โรคหนึ่งเสมอ แน่นอน ครอบครัวฉันมีคุณแม่อายุกว่า 80 ปี เป็นโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งเสี่ยงภัยกับโรคหัวใจ โรคไขมันในเลือด โรคหลอดเลือดแดงแข็งตัว มีภาวะเลือดข้น จึงทำให้เกิดความดันโลหิตสูง ทั้งนี้เพราะเกิดจากเลือดไหลเวียนไม่ดีนั่นเอง
เห็ดหูหนูดำ อัศวินม้าขาว อาหารพื้นฐานได้มีบทบาทในการช่วยแม่ของฉัน ด้วยการนำมาปรุงเป็นอาหารธรรมดาในชีวิตประจำวันให้แม่กิน มีทั้งใส่ในแกงจืดวุ้นเส้นที่เต็มไปด้วยฟองเต้าหู้ เห็ดหูหนูดำ ดอกไม้จีนผูกปม และวุ้นเส้นอย่างดี (ไม่มีเนื้อสัตว์) ใช้ใส่ในผัดแนมแกมผักต่างๆ ต่างเนื้อสัตว์ ใช้ผัดเฉพาะเห็ดหูหนูก็อร่อย ใช้ยำรสไม่จัดไม่เผ็ดเลยก็ดี ใส่ในผัดขิงกับหู่กี่ (แทนไก่) ทำเป็นโจ๊กเห็ดหูหนู (ต่างหมูสับ) ทำเป็นซุปเห็ดหูหนู (หั่นฝอย) ใส่ในน้ำซุปใส หรือมันฝรั่งบด ทำซุปฝรั่งน้ำข้นก็ย่อมได้
ทั้งนี้เพราะเห็ดหูหนูมีคุณสมบัติที่เด่นชัด คือ บำรุงตับ ทำให้ตับแข็งแรง ซึ่งตับมีหน้าที่ขับสารพิษ ย่อยอาหาร สร้างสมดุลให้กับเลือดและร่างกาย ตับคือศูนย์กลางสุขภาพดีของร่างกายที่สำคัญ บำรุงไต ทำให้ไตมีประสิทธิภาพในการสร้างเม็ดเลือด ปรับสมดุลความดันโลหิต
ตับกับไตต่างส่งเสริมและดูแลซึ่งกันและกัน ไตจะคอยให้ความเย็นกับตับเสมอ เมื่อตับต้องทำงานหนัก แบกรับภาระของระบบการย่อย ระบบเลือด เห็ดหูหนูเป็นสารอาหารที่มีคุณสมบัติเป็นหยิน จึงเริ่มต้นด้วยการบำรุงโลหิต เพิ่มพลังชีวิต มีฤทธิ์ต้านการเกาะตัวของเม็ดโลหิต ลดความร้อนของเลือด จึงช่วยรักษาโรคทั้งหมดของแม่ รวมทั้งโรคเสี่ยงทั้งหลายที่สัมพันธ์กับโรคความดันโลหิตสูง
ภาวะเลือดร้อนอย่างเดียว ก็ทำให้เกิดโรคอันไม่พึงปรารถนามากมาย กล่าวคือ โรคร้อนใน โรคโลหิตจาง อุจจาระปนเลือด ปัสสาวะปนเลือด เลือดข้น ปากแห้งขม สายตาพร่ามัว ตาขาวมีสีแดงปนเหลือง มีเส้นเลือดในลูกตาปรากฏ (เกิดจากภาวะตับทำงานบกพร่อง) เลือดออกในช่องคลอด โรคริดสีดวงทวาร
เลือดข้น เกิดจากภาวะเลือดร้อน ในเห็ดหูหนูดำมีสารอะดีโนซีน เป็นสารตัวเดียวกันกับที่พบในกระเทียมและหัวหอม สารอะดีโนซีนช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตัน ทั้งที่หัวใจ สมอง และอวัยวะต่างๆ
เห็ดหูหนูดำจึงมีคุณสมบัติในการป้องกัน บรรเทา และรักษาโรคดังกล่าวมาทั้งหมด แล้วยังสามารถรักษาอาการนิ่วในถุงน้ำดี นิ่วในไต วัณโรค ไอแห้งๆ ปากแห้งขม ช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร ดังนั้น เห็ดหูหนูจึงเป็นพญาแห่งยาอายุวัฒนะ ที่สามารถป้องกันมะเร็งได้อีกด้วย เพราะช่วยให้เลือดหมุนเวียนดี
เส้นใยอาหารในเห็ดหูหนู เป็นเส้นใยละลายน้ำ จึงสามารถเก็บพิษและไขมันส่วนเกินออกจากร่างกาย แถมช่วยระบบขับถ่ายของเสียจากลำไส้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะมีน้ำมันยางธรรมชาติในเส้นใยอาหารนั่นเอง
สารอาหารในเห็ดหูหนู 100 กรัม ประกอบด้วย พลังงาน 43 กิโลแคลอรี โปรตีน 1.4 กรัม ไขมัน 0.1 กรัม คาร์โบไฮเดรต 9.1 กรัม แคลเซียม 60 มิลลิกรัม เหล็ก 6.1 มิลลิกรัม ไทอะซิน 0.04 มิลลิกรัม ไรโบฟลาวิน 0.71 มิลลิกรัม ไนอะซิน 2.8 มิลลิกรัม วิตามินซี 21 มิลลิกรัม เส้นใยอาหาร 7 กรัม กรดนิโคติน 2.7 มิลลิกรัม (ข้อมูลจากกองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข)
เห็ดหูหนูจึงสมควรเป็นอาหารประจำบ้าน คู่ครัว คู่ผู้สูงอายุ และผู้เจ็บป่วยอย่างยิ่ง
ภาพจาก : https://britishlocalfood.com/jelly-ear/
