INGREDIENTS
METHOD
1. ทำน้ำพริกแกงโดยโขลกพริกแห้งกับเกลือให้ละเอียด ใส่มะแขว่น ข่า ตะไคร้ และรากผักชี โขลกรวมกันจนละเอียดจึงใส่กระเทียมและหอมแดง ตามด้วยปลาร้าและกะปิ โขลกต่อจนละเอียดเข้ากันดี ตักใส่ถ้วย เตรียมไว้
2. ตั้งกระทะน้ำมันบนไฟกลาง ไม่ต้องรอน้ำมันร้อน ใส่กระเทียมลงเจียวจนเหลืองหอม ใส่น้ำพริกแกงที่โขลกลงผัดจนมีกลิ่นหอม ใส่ไก่ ปรุงรสด้วยน้ำปลา ใส่น้ำ ½ ถ้วย ผัดพอไก่สุก ปิดไฟ
3. ตักแกงที่ผัดใส่หม้อ เติมน้ำที่เหลือ ยกขึ้นตั้งบนไฟกลาง พอน้ำแกงเดือดใส่จักค่าน ต้มสักครู่จนเดือด ชิมรสหากไม่เค็มให้เติมน้ำปลา ใส่มะเขือเปราะ มะเขือพวง และถั่วพู ต้มจนเกือบสุกประมาณ 4 นาที จึงใส่เห็ดลม ดอกงิ้ว ชะอม ตำลึง ดอกแค ใบชะพลู ถั่วฝักยาว ใบมะกรูดฉีก และผักชีฝรั่ง ต้มต่อประมาณ 3 นาที คนพอทั่ว พอผักสุก สังเกตจากเนื้อผักนุ่มชุ่มน้ำแกง และสีคล้ำขึ้น ปิดไฟ ตักใส่ถ้วย
Tips
จักค่าน เครื่องเทศในรูปท่อนไม้
จักค่านวางขายทั่วไปในท้องตลาดของภาคเหนือ มีลักษณะเป็นท่อนไม้มัดรวมกัน หรือวางทับเป็นกองๆ จักค่าน เป็นไม้ป่าที่ชาวเขาบนดอยตัดมาขาย เก็บไว้ได้นาน ต้นเป็นเถาขนาดใหญ่ เป็นไม้ถิ่นดั้งเดิมของพม่า นอกจากใช้ทำอาหารแล้ว คนเมืองยังใช้ทำยา แบ่งเป็น 3 สายพันธุ์ คือ จักค่านแดง เป็นเถาไม้แก่นแข็ง เนื้อสีแดง นำมาหั่นบาง ตากแดด แล้วบดทำยา จักค่านดูก เนื้อสีขาว มีแก่นไม้แข็ง ใช้ทำยาเช่นกัน และจักค่านเนื้อ มีลักษณะเป็นเถาเล็กกว่า เนื้ออ่อน ให้รสเผ็ดมัน กลิ่นหอมแรง นิยมใช้ทำอาหาร
อาหารเมืองหลายอย่างใส่จักค่านเนื้อ แต่เด่นกว่าใครเพื่อนคือ แกงแค นอกจากนี้ยังใส่ในต้มเนื้อ ต้มปลา แกงอ่อม แกงขนุน ฯลฯ ก่อนใช้จักค่านเนื้อทำอาหารให้หั่นชิ้น ล้างน้ำจนสะอาดแล้วใส่ในน้ำแกงที่กำลังเดือด เมื่อต้มจนสุกเนื้อจักค่านจะนุ่มซุย กินเคล้าไปกับน้ำแกงหรือผักได้อร่อย เพราะนอกจากให้รสเผ็ดหอมเป็นเอกลักษณ์แล้ว ยังเป็นยาสมุนไพรชั้นเยี่ยมของชาวล้านนาอีกด้วย